เอกมัยเป็นย่านผู้น้องของทองหล่อ ไม่รุ่มรวยหรูหราเท่า แต่มีพื้นที่ให้ทดลองสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ความพิเศษของเอกมัยจึงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงอันไม่หยุดหย่อน เมื่อร้านเก่าไปก็มีร้านใหม่มาแทนทันที ในแง่หนึ่ง ถนนสายนี้จึงเปรียบเหมือนเครื่องตรวจวัดให้ชาวกรุงเทพฯ ได้รู้ว่า ตอนนี้คนกำลังฮิตอะไรกันอยู่
ใน 7 ร้านที่เลือกมาแนะนำให้รู้จัก เราคิดว่าแต่ละร้านบ่งบอกถึงกระแสของเมือง (และกระแสของโลก) ได้อย่างดีว่ากำลังพัดไปในทิศทางใด บางกระแสอาจเป็นที่คุ้นเคย บางกระแสอาจดูแปลกใหม่ แต่ทุกอย่างล้วนสะท้อนภาพเมืองใหญ่ที่ชื่อกรุงเทพฯ ว่ากำลังเดินหน้าไปในทิศทางไหน ที่สำคัญ ที่เหล่านี้ไม่ใช่แค่บ่งบอกกระแสฮิต ร้านเหล่านี้ยังมีเสน่ห์ในตัวเองเต็มเปี่ยมที่รอให้คุณไปสัมผัส
หากพร้อมแล้ว เชิญสำรวจที่แห่งใหม่และคลื่นลูกใหม่ของกรุงเทพฯ กันเลย
นัดมาทำงานด้วยกันที่ Mashmellow
Startup และ Co-working Space คือเทรนด์สำคัญของไทยและโลกซึ่งสะท้อนอยู่ในที่ทำงานยุคใหม่ที่ชื่อ Mashmellow ในวิสัยทัศน์ของ โบ๊ท-ณดล ชัยปาณี ผู้ก่อตั้ง พื้นที่ซึ่งควรเกิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนเหล่าสตาร์ทอัพ คือ Service Office ห้องทำงานที่พร้อมสรรพด้วยเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ หากใครรวมทีมขึ้นมาได้และมีไอเดียแล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาหาสถานที่ เพียงทำสัญญาเช่า 3 เดือนกับที่ Mashmellow ก็เริ่มทำงานได้ทันที หรือใครไม่อยากเช่าห้องทำงานเพราะแยกกันทำงาน ก็มาเช่าแค่ห้องประชุมได้เหมือนกัน อะไรแบบไหนก็ได้ที่จะช่วยให้การทำงานสะดวกสบายและลื่นไหลที่สุด
ณดลเปลี่ยนตึกเก่าในเวิ้งให้เหมือนใหม่ ด้วยแนวคิดที่จะสร้างศูนย์กลางให้บริษัทรุ่นใหม่มีที่มาพบปะสังสรรค์กัน เขาให้ความสำคัญกับบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง และบุคลากรที่คอยช่วยเหลือดูแลทุกอย่างตั้งแต่รับพัสดุยันสั่งอาหาร เขาหวังว่าการที่บริษัทหลายแห่งมารวมกันอยู่ในบริเวณใกล้กันเช่นนี้ อาจช่วยให้เกิดประกายไปสู่การร่วมมือข้ามบริษัทได้ง่ายขึ้น
พื้นที่ของ Mashmellow มีอยู่ทั่วตึก ชั้น 6 และ 7 เป็นห้องสำนักงาน ห้องประชุม และที่นั่งทำงาน (ถ้าใครอยู่ยาว มีห้องอาบน้ำให้ด้วยนะ!) ชั้น 8 เป็นส่วนให้กินข้าวและพักผ่อน หรือบริษัทไหนจะมาจัดปาร์ตี้ตอนเย็นก็ได้ นอกจากนี้ ณดลก็กำลังมีแผนจะขยายไปชั้น 2 เพื่อทำเป็นพื้นที่ให้เช่าจัดกิจกรรมและเสวนาอีกด้วย
Mashmellow
ที่อยู่: ตึกด้านในสุดของเวิ้ง Park Avenue ระหว่างซอยเอกมัย 12 กับเอกมัย 14 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 08.00 – 21.00 น.
ติดต่อ: 088-9879565
Website: mashmellow.co
จิบกาแฟในร้านบรรยากาศเกาหลีที่ Spotlight
Lifestyle Shop คืออีกหนึ่งเทรนด์มาแรงในวันนี้ ที่ Spotlight ร้านของ Jay หรือฮวางวอนจอง ดีไซเนอร์หนุ่มชาวเกาหลีที่ย้ายมาอยู่ไทยด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าชอบอากาศร้อนที่กรุงเทพฯ และเกลียดฤดูหนาวของเกาหลีใต้ เป็นก้าวแรกของความฝันที่จะทำธุรกิจนำเข้าและส่งออกเสื้อผ้าเกาหลีมาที่ไทย เจย์บอกว่าตอนนี้ร้านมีพื้นที่ให้นั่งกินอาหารและจิบกาแฟกันก่อน หากอดใจรออีกไม่นานจะมีเสื้อผ้าเก๋ไก๋สไตล์เกาหลีให้ช้อปกันได้ที่นี่
ร้านเปิดให้บริการตั้งแต่เช้ายันดึก มีอาหารและเครื่องดื่มรองรับทุกสภาพอารมณ์ ตั้งแต่กาแฟในยามเช้า ไล่ไปจนถึงโซจูในยามค่ำคืน รวมถึงมีเมนูอาหารเกาหลีอีกด้วย ส่วนตัวได้ลิ้มลองแล้วพบว่าข้าวผัดกิมจิกับซุปกิมจิอร่อยมาก ส่วนสองเครื่องดื่มที่ทางร้านแนะนำคือ Green Espresso เอสเพรสโซผสมชาเขียว และ Shakerato ซึ่งอ่านออกเสียงแบบไทยๆ ได้ว่า เชก-ลาเต้ คือการนำกาแฟลาเต้มาเชก ทำให้ได้สัมผัสคล้ายฟองเบียร์ผสมเข้าไปด้วยนั่นเอง
Spotlight
ที่อยู่: ริมถนนเอกมัย ติดปากซอยเอกมัย 12 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: เปิดทุกวันตั้งแต่เช้า (ประมาณ 08.00 น.) ถึงดึกดื่น (ประมาณ 02.00 น.)
ติดต่อ: 097-2452630
Facebook: Spotlight
เสพงานภาพถ่ายสวยๆ ที่ House of Lucie
ยุคนี้ใครๆ ก็ชอบการถ่ายรูป และอุปกรณ์ถ่ายภาพดีๆ ก็ไม่ใช่ของหายากอีกต่อไป แต่ใช่ว่าทุกคนจะถ่ายภาพได้ดี นี่คือจุดเริ่มต้นของ House of Lucie หนึ่งในแกลเลอรี่ของ Hossein Farmani ประธานผู้ก่อตั้ง Lucie Foundation มูลนิธิซึ่งคอยให้รางวัลเชิดชูช่างถ่ายภาพฝีมือเอก และสนับสนุนช่างถ่ายภาพรุ่นใหม่ทั่วโลก เมื่อแรกมากรุงเทพฯ เขาตั้งใจจะตั้งแค่เพียง Rooftop Gallery สำหรับจัดแสดงงานเท่านั้น แต่เมื่อพบว่ามีคนไทยที่สนใจงานศิลปะมาก แกลเลอรี่จึงขยายมาเป็น House of Lucie ที่ไม่ได้ให้เพียงสุนทรียะเมื่อเสพงานศิลป์ แต่ให้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายภาพด้วย
เมื่อเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้น 2 ของตึก จะพบนิทรรศการแบ่งเป็น 2 ส่วน กำแพงรอบนอกจัดนิทรรศการถาวร แสดงผลงานภาพถ่ายอันมีชื่อเสียงของศิลปินรุ่นใหญ่ เช่นภาพ Afghan Girl หญิงสาวตาสีเขียวผู้โด่งดังบนหน้าปก National Geographic และภาพของดารานักแสดงคนดังอีกมากมาย ส่วนตรงกลางห้องจะมีกำแพงอีกชั้นหนึ่งสำหรับจัดนิทรรศการหมุนเวียน เปิดพื้นที่ให้ศิลปินหน้าใหม่ได้แสดงฝีมือด้วย หากดูแค่นี้ยังไม่จุใจ บนชั้น 3 ก็มีนิทรรศการอีก 2 ห้องนะ
นอกจากนิทรรศการภาพถ่าย ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีกิจกรรมสอนและฝึกถ่ายภาพที่จัดอยู่เรื่อยๆ งานหนึ่งที่จัดประจำและเราอยากแนะนำให้มาลองแจมกันดู คือ One Shot One Minute กิจกรรมเวิร์กช็อปที่ให้ผู้เข้าร่วมนำภาพถ่ายมากันคนละภาพ แล้วพูดคุยเกี่ยวกับภาพนั้นเป็นเวลา 1 นาที งานจะจัดเป็นภาษาอังกฤษในทุกจันทร์แรกของเดือน และจัดเป็นภาษาไทยในทุกเสาร์ที่ 3 ของเดือน หากใครอยากรู้จักโลกแห่งการถ่ายภาพให้ดีขึ้น ก็สมัครเข้าร่วมได้เลย ไม่เสียค่าใช้จ่ายจ้า
House of Lucie
ที่อยู่: ซอยเอกมัย 8 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: เปิดวันอังคาร-ศุกร์ 11.00 – 18.00 น. และวันเสาร์ 12.00 – 17.00 น. ปิดวันอาทิตย์และจันทร์
ติดต่อ: 095-4789987
Facebook: House of Lucie
เล่นกับกองทัพน้องหมาที่ Dog in Town
เพราะวิถีคนกรุงมักไม่เอื้ออำนวยให้เลี้ยงสัตว์ คาเฟ่สัตว์เลี้ยงจึงถือกำเนิดมาเพื่อเติมเต็มช่องว่าง แต่คงไม่มีที่ไหนใส่ใจเท่าร้าน Dog in Town ของ แม็กซ์-ชัยวัฒน์ ศิริศักดิ์ธนากุล ผู้ตั้งใจเลี้ยงสุนัขทั้ง 14 ตัวของร้านให้ทำหน้าที่เป็น ‘พนักงานร้าน’ โดยเฉพาะ เขานำพวกมันมาฝึกให้ชินกับการพบเจอผู้คนตั้งแต่เด็ก ผลก็คือสุนัขทั้งน้อยและใหญ่ต่างก็เป็นมิตร ไม่ตื่นคน และปฏิบัติตัวสุภาพเรียบร้อยเป็นระเบียบ ชัยวัฒน์มองว่าการทำคาเฟ่แบบนี้เป็นเรื่องดีกับทั้งคนและสุนัข คนเองก็ได้ผ่อนคลายโดยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องเลี้ยงดู ส่วนสุนัขก็ไม่ต้องถูกทิ้งขว้างบนถนนเมื่อคนเลี้ยงไม่ไหว
ภายในร้านมีพื้นที่ไม่ใหญ่ ทำให้ไม่ว่าจะนั่งอยู่ตรงไหนก็หันไปเล่นกับน้องๆ ได้ ส่วนพื้นที่หน้าร้านเป็นสนามหญ้า หากวันไหนฝนไม่ตก ทางร้านจะปล่อยเจ้าสุนัขออกมาวิ่งเล่นทุกชั่วโมง สุนัขที่นี่มีหลายสายพันธุ์ ตั้งแต่ไซบีเรียน อลาสกัน และซามอยด์ตัวใหญ่เบิ้ม ไปจนถึงคอร์กีและบูลด็อก ไม่ว่าพันธุ์ไหนก็น่ารักและพร้อมให้เข้าไปทักทายทำความรู้จักได้ แต่ละตัวมีชื่อเป็นสถานีรถไฟฟ้า เช่น อโศก พร้อมพงษ์ เพลินจิต ฯลฯ ทำให้จำง่าย เพียงนั่งเล่นและจิบกาแฟยังไม่ทันหมดแก้ว ก็จำน้องๆ ได้ครบทุกตัวแล้ว
Dog in Town
ที่อยู่: 16/1 ซอยเอกมัย 6 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: เปิดวันอาทิตย์-พฤหัสบดี 11.00 – 20.00 น. วันศุกร์และเสาร์เปิดถึง 21.00 น.
ติดต่อ: 082-4029175
Facebook: Dog In Town
เล่นบอร์ดเกมกลางดึกที่ Sheldon Ekamai
ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกที่เวลาไม่ถูกตีกรอบอีกต่อไป! เมื่อใครๆ ก็ปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างอิสระทั้งในแง่สถานที่และเวลาทำงาน เราขอแนะนำ Sheldon อีกหนึ่ง Co-working Space ครบวงจรที่แสนจะเหมาะกับชีวิตยุคใหม่นี้ เพราะทุกส่วนของร้านให้บริการอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง จะอยากทำงาน เล่นเกม หรือนัดเจอกันเวลาไหน ก็มาได้เลยแบบไม่ต้องห่วงเวลาเปิด-ปิด
พื้นที่ในร้านมีหลายส่วน ด้านหน้าสุดเป็นตู้ติดผนังที่อัดแน่นไปด้วยบอร์ดเกมนานาชนิด ริมหน้าต่างมีโต๊ะเก้าอี้วางเรียงรายให้เลือกที่นั่งทำงานและพักสายตาด้วยการมองต้นจามจุรีสีเขียวใหญ่ด้านนอก อีกฝั่งเป็นบาร์สำหรับสั่งขนมและเครื่องดื่มไว้แก้หิวกระหาย เดินเข้าไปข้างในจะพบชั้นปลูกผักวางเรียงราย เมื่อผักโตได้ที่ ทางร้านก็จะนำมาขาย ข้างกันนั้นมีโซฟาและจอโทรทัศน์สำหรับเล่นเกมคอนโซล ส่วนพื้นที่ในสุดของร้านเป็นห้องที่ให้เช่าทำอะไรก็ได้ ตั้งแต่ประชุมยันแสดงละคร หากห่วงว่าอยู่ในร้านจนลืมวันลืมคืนแล้วจะกลับบ้านไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ด้านล่างมีที่จอดรถให้เพียบเลย
Sheldon Ekamai
ที่อยู่: ชั้นบนสุดของตึก Acmen Ekamai เลขที่ 267/16 ซอยสุขุมวิท 63 (เอกมัย) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
ติดต่อ: 082-5865170
Facebook: Sheldon Ekamai
แวะเข้าร้านทำผมสีสันสดใสที่ Smile Club Hair Diner
สีชมพูสดใสและของแต่งร้านสไตล์เรโทร ทำให้เมื่อมองผ่านๆ แล้วร้านนี้ดูไม่เหมือนร้านทำผมเลยสักนิด แต่ดูเหมือนร้านอาหารแบบอเมริกันไดเนอร์มากกว่า นี่คือความตั้งใจของผู้ร่วมก่อตั้งร้าน Smile Club Hair Diner ที่อยากสร้างบรรยากาศซึ่งแปลกและมีเอกลักษณ์ เพื่อสื่อสารถึงความเฉพาะตัวของร้าน เป็นเหมือนการส่งข้อความให้ลูกค้าทราบว่า เราไม่เหมือนใคร เพราะเราเลือกที่จะเป็นเรา
“เราเป็นร้านของนักออกแบบทรงผมรุ่นบุกเบิกแห่งประเทศไทย” นี่คือสิ่งที่ ซัน-เมธัส เทพนวล หนึ่งในช่างทำผม บอกเรา เขากับเพื่อนอีก 2 คน คือ บุตร-สุริยะ อัศวนิก และ โทนี่ รากแก่น ซึ่งต่างก็เป็นผู้คร่ำหวอดในวงการช่างทำผมยุคใหม่ของไทย ช่วงเวลาสิบกว่าปีในวงการ ทำให้พวกเขาพบว่าแท้จริงแล้ว การจะเป็นช่างทำผมต้องใช้ทั้งความรู้และฝีมือสูง จึงตัดสินใจเปิดร้านร่วมกันเพื่อยกระดับวงการทำผมในประเทศ ให้คนหันมาเห็นคุณค่าของวิชาชีพนี้มากขึ้น
แล้วยุคใหม่ที่ว่านี้ต่างจากยุคดั้งเดิมอย่างไร? เมธัสบอกว่าตำแหน่งงานของพวกเขาไม่ใช่แค่ช่างทำผม แต่เป็น Hair Stylist ที่จะต้องช่วยลูกค้าคิดและออกแบบทรงผม เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาคือการดึงธรรมชาติของคนคนนั้นออกมาให้โดดเด่น และทำทรงผมให้เหมาะกับนิสัยของลูกค้าแต่ละรายอีกด้วย เช่น ถ้าไม่มีเวลาเซ็ตผม ก็จะทำทรงที่แม้ไม่เซ็ตก็ดูดีได้ให้ เป็นต้น หากอยากรู้ว่าเขาจะทำผมทรงไหนให้คุณ ก็ต้องไปลองใช้บริการดู
Smile Club Hair Diner
ที่อยู่: ชั้น 2 ของเวิ้งโบราณ 5/1 ซอยเอกมัย 10 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 11.30 – 20.00 น.
ติดต่อ: 095-5154526
Facebook: Smile Club
ฝึกมวยไทยที่ Cheeks Thai Boxing Club
เพราะเทรนด์สุขภาพกำลังมาแรงในยุคนี้ เราจึงเห็นคนออกวิ่ง ปั่นจักรยานกันคึกคัก แต่นอกจากการออกกำลังทั่วไป เรายังเห็นเทรนด์การออกกำลังกายทางเลือกผุดขึ้นมาด้วย วันนี้เราจึงขอแนะนำสถานที่ฝึกมวยไทยอย่าง Cheeks Thai Boxing Club ของ สไปรท์-ตรีรัตน์ รัตนรอด นักกีฬาเทควันโดเก่าผู้หันมาเปิดโรงเรียนสอนมวยไทย เขาเห็นว่าแม้จะมีค่ายมวยไทยอยู่ทั่วกรุงเทพฯ แต่ค่ายเหล่านั้นไม่ตอบโจทย์คนทั่วไปที่อยากออกกำลังกายเท่าไรนัก ด้วยความตั้งใจว่าจะสร้างสถานที่สอนมวยไทยซึ่งเป็นวิธีออกกำลังกายสำหรับคนเมือง เขาจึงไปฝังตัวฝึกมวยและเรียนรู้วิธีทำค่ายมวยก่อนจะมาเปิดโรงเรียนแห่งนี้ จากวันนั้นผ่านมาเกือบ 3 ปี ที่โรงเรียนมีครูมวยหลายคน และหากอยากเรียนเทควันโดหรือมวยสากลก็บอกได้เช่นกัน
มวยไทยเป็นกีฬาที่ฝึกไม่ยาก ใครๆ ก็เรียนได้ ท่าทางเตะต่อยเบื้องต้น เพียงแค่มาสัก 5 – 6 ครั้งก็พอจะทำเป็นแล้ว ตรีรัตน์จึงนำมวยไทยออกมาให้คนนอกวงการอย่างพวกเราได้ลิ้มลอง การมาใช้บริการที่นี่ ชาวไทยก็สนุก ชาวต่างชาติก็ตื่นเต้น หากมาเป็นครอบครัว ก็ไม่ต้องมีใครนั่งรอใคร พ่อแม่ลูกเรียนพร้อมกันได้เลย
โรงเรียนแห่งนี้ไม่มีค่าแรกเข้า ไม่มีสัญญาระยะยาว ค่าเรียนครั้งหนึ่งก็คิดง่ายๆ 500 บาทต่อ 1 ชั่วโมง มาลองแล้วจะติดใจจนอยากสมัครเป็นสมาชิกแน่นอน แม้จะเปิดบริการทุกวันให้วอล์กอินได้ แต่เสาร์-อาทิตย์คนจะเยอะมาก แนะนำให้โทรเข้ามาแจ้งทางร้านไว้ก่อนจ้า
Cheeks Thai Boxing Club
ที่อยู่: ชั้น 3 ของเวิ้งโบราณ 5/1 ซอยเอกมัย 10 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 09.30 – 21.00 น.
ติดต่อ: 097-2969287
Website: www.cheeksthaiboxing.com
ภาพ: ณัฐนิช ชนะฤทธิชัย
เรื่อง อลิษา ลิ้มไพบูลย์
ที่มา : readthecloud.co