‘กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว’ หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินประโยคนี้ เพื่อเปรียบเปรยถึงบางสิ่งบางอย่างที่ต้องใช้เวลาและอดทนในการทำหรือสรรสร้างให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย ไว้เปรียบเปรยกับการทำงาน อิตาลีก็เช่นกัน เพราะในทางเศรษฐกิจอิตาลีถือเป็น 1 ในประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางในเศรษฐกิจมากที่สุดในโลกด้วยธุรกิจSME ซึ่งทำให้อิตาลีมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก
วันนี้ไนท์แฟรงค์ ตีตั๋วพาไปดูเรื่องราวของเศรษฐกิจแห่งเมืองรองเท้าบทธมาฝากกัน
ถ้าถามประเทศที่เด่นในทุกเรื่องจนครบรอบด้าน จะไม่พูดถึงอิตาลีไม่ได้เลย ที่มีดีในทั้งทางการค้า อุตสาหกรรม การส่งออก ศิลปะวัฒนธรรม และในด้านของอาหาร ซึ่งอิตาลีก็มีความคล้ายกับเมืองไทยอยู่หลายอย่างเลยในหลายๆด้านทั้งอาหาร การใช้ชีวิตเริ่มต้นแบบชิวๆ สบายๆ และสุดท้ายไปตายเอาดาบหน้า ตามแบบฉบับนักปฏิบัตินิยม หรือเรียกสั้นๆง่ายๆ ว่า ทำงานแบบไม่เน้นระบบ แต่เน้นลงมือทำ และไม่มีสูตรตายตัวนัก
ประเทศอิตาลี
อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากที่สุด โดยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก (และอันดับ 3 ในสหภาพยุโรป) หากวัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) รวมทั้งมีทองคำสำรองในธนาคารมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีคุณภาพชีวิตประชากรสูง จากการมีระบบการศึกษาและสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจในด้านการทหาร, การทูต, การค้า และอุตสาหกรรม โดยมีขนาดกองทัพใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพยุโรป และยังเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ, เนโท, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ, องค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป, องค์การการค้าโลก, กลุ่ม 7, กลุ่ม 20, สหภาพเพื่อเมดิเตอร์เรเนียน, สภายุโรป และพื้นที่เชงเกน อิตาลียังเป็นต้นกำเนิดของสิ่งประดิษฐ์และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมาย รวมทั้งเป็นศูนย์กลางทางศิลปะ, ดนตรี, วรรณกรรม, ปรัชญา และแฟชั่น และมีอิทธิพลต่อวงการบันเทิงโลก และยังมีจุดเด่นในด้านอาหาร, กีฬาและธุรกิจ รวมทั้งเป็นแหล่งสะท้อนความมั่งคั่งทางวัฒนธรรม โดยเป็นประเทศที่มีแหล่งมรดกโลกมากที่สุดในโลก (58 แห่ง และมีนักท่องเที่ยวมากที่สุด – ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
ต้องบอกเลยว่า ชาวอิตาลีมี Passion ในการใช้ชีวิตสูงมาก และการใช้ชีวิตตามแนวทางนี้นั่นเองที่ทำให้อิตาลีเริ่มต้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันหลังสงคราม นโปเลียน ระหว่างปี 1820-1840 ซึ่งเป็นช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมตอนนั้นอังกฤษรุ่งเรืองในด้านอุตสาหกรรมมาก แต่อิตาลียังรบกันอยู่ จนสุดท้ายจึงเกิดการรวมชาติกันอีกครั้งโดยปราศจากการรบจนประเทศเริ่มมีความมสงบสุข แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีชื่อประเทศ เพราะเป็นการรวมชาติที่เกิดจากการนำผู้คนที่มีการใช้ชีวิตเหมือนกัน ภาษาคล้ายกัน แต่ยังไม่พูดภาษาเดียวกันมาอยู่ด้วยกัน จนกระทั่งมีการประดิษฐ์ภาษาอิตาลีเป็นของตัวเองได้ ชื่อประเทศจึงมาตอนนั้น ซึ่งมาจากภาษาละตินว่า “อิตาเลีย”(Italia) คือเป็นชื่อที่ชาวโรมันตั้งให้กับคาบสมุทรแห่งนั้น จึงได้ชื่อว่า อิตาลี จนถึงทุกวันนี้ และอิตาลีรวมชาติสำเร็จในปี 1871 นับเป็นช่วงก่อร่างสร้างตัวของประเทศ
จุดเปลี่ยนด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
ในช่วงฟื้นฟูประเทศหลังการล่มสลายของราชวงศ์และพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่2 สิ่งที่เป็นการบ้านใหญ่ของประเทศนี้คือ การเมืองและเศรษฐกิจ แล้วสิ่งที่ประเทศได้รับในช่วงเวลาหลังสงครามโลกก็คือ Marshall Plan หรือเรียกอีกอย่างว่า โครงการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริการแก่ยุโรปตะวันตก ซึ่งอิตาลีถือว่าเป็นประเทศที่มีมุมมองในการจัดสรรเงินอย่างได้ยอดเยี่ยม จากผลสำรวจอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจหลังจาก 12 ปีให้หลัง 1950-1962 พบว่าเศรษฐกิจของอังกฤษ และฝรั่งเศสเติบโต 130% ในขณะเดียวกันอิตาลีมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 253% ซึ่งเป็นที่มาที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจ” (Miracolo Economico Italiano) ของอิตาลี และในปี 1986 ก็สามารถแซงประเทศอังกฤษได้สำเร็จ นั่นจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากว่าอิตาลีทำอะไรกับเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่การเมืองล้มเหลวไม่เป็นท่า
Entrepreneurial Spirit สร้างเศรษฐกิจ
จากที่กล่าวไว้ข้างต้นเศรษฐกิจที่เติบโตสูงถึง 253% เราจะมาอธิบายกันว่า อะไรที่ทำให้เศรษฐกิจของอิตาลีเติบโตได้สูงกว่าอังกฤษ เมื่อทศวรรษ 50 ที่ผ่านมา อะไรที่เป็นสินค้าราคาถูก และเป็นสินค้าที่ไม่ซับซ้อนนัก อิตาลีรับรับผลิตหมดทุกอย่าง เช่น รถขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างเช่นเครื่องซักผ้าและตู้เย็น เนื่องจากค่าแรงมีราคาถูก และตัวดัชนีชี้วัดว่าอิตาลีมีกินมีใช้ในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ นับจากจำนวนครัวเรือนที่ถือครองเครื่องซักผ้าและตู้เย็นว่ามีมากแค่ไหน ซึ่งในช่วงเวลานั้นแบรนเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่น หรือจีนยังไม่เข้ามาในยุโรป อิตาลีในตอนนั้นถือว่าประสบความสำเร็จในด้านเศรษฐกิจในฝั่งยุโรปเป็นอย่างมาก
Vespa (แปลว่า ตัวต่อ) ถือเป็นหนึ่งในผู้พลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยบริษัท Piaggio บริษัทผู้ผลิตเรือดำน้ำ เครื่องบินในช่วงสงคราม ระดมสมองกันหารือในด้านการคมนาคมที่ลำบาก เพราะถนนในยุคนั้นยังไม่ได้รับการฟื้นฟูทั้งลูกรัง เล็กและแคบ ทำให้การเดินทางลำบาก จึงคิดผลิตรถเนื่องจากมีทรัพยากรทางความรู้และบุคคลที่พร้อมอยู่แล้ว โดยเลียนแบบจากรถสกูสเตอร์ของทหารอเมริกันในยุคนั้น แล้วนำออกไปเสนอให้กับ Piaggio รุ่นที่ 2 หลังจากได้เห็นโมเดลของรถรุ่นนี้แล้วเขาก็อุทานมันออกมาว่า ‘oh è una vespa'(โอ้ นี่มันรูปร่างอย่างกับตัวต่อเลย) หลังจากนั้นชื่อนี้ก็ได้ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในด้านเศรษฐกิจของอิตาลีในช่วงเวลานั้น ทั้งนี้ ยังมี FIAT, สินค้าแฟชั่น, อุสาหกรรมอาหารอื่นๆ เป็นต้น
ด้านอาหาร
ชาวอิตาลีให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารมากๆ เพระาเป็นช่วงเวลาสำคัญของครอบครัวที่ได้อยู่ร่วมกัน รวมไปถึงการได้สังสรรค์กับเพื่อนฝูง ชาวอิตาลีจึงใช้ระยะเวลานานในการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาหารค่ำ ซึ่งยาวนานถึง 3-4 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ทั้งเมนูเรียกน้ำย่อย อาหารจานแรกอย่างข้าว หรือพาสต้า ต่อด้วยจานหลักจำพวกเนื้อสัตว์ ตามด้วยสลัด และจบของหวาน หรือกาแฟ(ชาวอิตาลีดื่มกาแฟเก่งมากๆ) ส่วนอาหารกลางวันระหว่างพักจากการทำงาน ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารจานเดียวแบบครบเพื่อความรวดเร็ว และช่วงสุดสัปดาห์เวลาสบายๆจะทำอาหารสังสรรค์กับเพื่อนๆและครอบครัวซึ่งอาจกินเวลายาวนานถึง 2-3 ชั่วโมงเช่นกัน ส่วนอาหารเช้านั้นนิยมรับประทาน แบบเบาๆ continental breakfast หรือเป็นกาแฟประเภทต่างๆ อย่าง คาปูชิโน่ มัคคีอาโต้ สเตร็ตโต้ ลุงโก้ ฯลฯ กับ brioche หรือขนมหวานอื่นๆ
อุตสาหกรรมอาหารของอิตาลีนับเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับอิตาลี โดยมียอดจำหน่าย(Turnover)ต่อปีประมาณ ๑๓๐ พันล้านยูโร มูลค่าการนำเข้า ๒๐ พันล้านยูโร มีความแข็งแกร่งด้านการส่งออกโดยมีมูลค่าการส่งออกเกินดุลทุกปีประมาณ ๒๓ พันล้านยูโร มีการบริโภคภายในประเทศประมาณ ๒๐๐ พันล้านยูโร ประกอบไปด้วยคนงานกว่า ๑๔๐,๐๐๐ คนในกว่า ๖ พันอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง นับเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อันดับที่สองของประเทศ รองจากวิศวกรรมเครื่องกลโลหะ(Metalmeccanical Industry) และคิดเป็นอันดับสามในยุโรป รองจากอุตสาหกรรมอาหารของเยอรมันและฝรั่งเศส
อิตาลีเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของ Soft Power มาช้านาน อุตสาหกรรมอาหารของประเทศอิตาลีนั้นแข็งแกร่งมาก โดยที่เราเองก็เติบโตมากับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่มีเกี่ยวข้องกับอิตาลีอย่าง น้ำมันมะกอก ที่มีการส่งออกน้ำมันมะกอกที่เติบโตขึ้นทุกปี สปาเก็ตตี้ พิซซ่า คาโบนาร่า และอื่นๆ ทั้งยังปลูกองุ่นเป็นพืชหลักในด้านการเพาะปลูก นิยมปลูกไว้เพื่อทำไวน์
อุตสาหกรรม
อุสาหกรรมของอิตาลีเกิดขึ้นได้ช้า จนกระทั่งในปี 1883 ถือกำเนิด BULGARI และปี 1899 FIAT เริ่มต้นด้วยการผลิตรถเป็นของตนเอง เนื่องจากทางอเมริการและเยอรมันเริ่มมีเป็นของตนเองแล้ว จากนั้นอิตาลีจึงเริ่มมีความรู้ด้านอุตาหกรรมเพิ่มขึ้น ไม่นานเมื่อมีรถยนต์ก็เริ่มมีการผลิตยางรถยนต์อย่าง Pirelli และเริ่มต้นผลิตอุตสาหกรรมที่ใหญ่ขึ้นอย่างรถไฟโดยบริษัทอย่าง Piaggio ที่เคยผลิตทั้งเรือดำน้ำ เครื่องบินรบ ซึ่งมาเปลี่ยนเป็น Vespa ในภายหลัง ณ เวลานั้นอุตสาหกรรมของอิตาลียังถือว่าตามหลังประเทศอื่นๆ อย่างเยอรมัน และอเมริกาอยู่มาก
ยังไม่พออิตาลีเป็นหนึ่งในผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดของโลก จะมีการผลิตที่ก้าวหน้เป็นาบางส่วน เช่น เหล็กกล้า รถยนต์ พลังงานไฟฟ้า และเส้นใยสังเคราะห์ แต่ยังไม่ใช่ภาคส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม และการผลิตอุตสาหกรรมก็มักจะอยู่ทางภาคเหนือของอิตาลี
อิตาลีเป็นสมาชิกกลุ่มจี 8 และเข้าร่วมสหภาพการเงินของสหภาพยุโรป (EMU) เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1998 แม้ระบบเศรษฐกิจของอิตาลีเป็นระบบทุนนิยม ที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี แต่รัฐบาลยังคงเข้ามามีบทบาทควบคุมกิจกรรมที่สำคัญ เช่น สาธารณูปโภค อุตสาหกรรมพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งได้ก่อประโยชน์ให้แก่ภาครัฐบาลในการสร้างฐานอำนาจ และแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีความพยายามที่จะลดบทบาทของพรรคการเมือง โดยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการ แต่อิตาลียังมีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศหลายอย่าง เช่น การขาดดุลงบประมาณในระดับสูง การว่างงาน การขาดแคลนทรัพยากรพลังงานในประเทศ และระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างอิตาลีตอนเหนือ (แคว้นลอมบาร์ดี เอมีเลีย-โรมัญญา และทัสกานี) ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและการค้า และมีกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs อยู่หนาแน่น กับอิตาลีตอนกลางและตอนล่าง รวมทั้งเกาะซิซิลีและเกาะซาร์ดิเนีย ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรม บริเวณที่พัฒนาน้อยกว่านี้มีพื้นที่ประมาณ 40% ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยพื้นที่นี้มีประชากรอาศัยอยู่ถึงร้อยละ 35 ของประชากรทั้งประเทศ และมีอัตราการว่างงานสูงถึงกว่าร้อยละ 20
วัฒนธรรม
อิตาลีมีวัฒนธรรมที่คล้ายคนเอเชียโดยให้ความเคารพนับถือผู้สูงอายุ การแสดงความเคารพและให้เกียรติผู้สูงอายุถือเป็นมารยาทที่ชาวอิตาเลียนชื่นชมมาก การมอบดอกไม้ที่เป็นการแสดงความยินดีหรือขอบคุณเมื่อได้รับเชิญเป็นแขกควรให้เป็นช่อที่จำนวนเป็นเลขคู่ในการทักทายกับชาวอิตาเลียนที่ยังไม่คุ้นเคยควรให้คำ “Signore” นำหน้าชื่อสกุลผู้ชายและ “Signora” นำหน้าชื่อสกุลผู้หญิง เมื่อแนะนำตัวหรือเรียกขานผู้นั้นในที่ทำงานและการพบปะทางธุรกิจ เราจะต้องเรียกนามสกุล จนกว่าจะได้รับอนุญาตให้เรียกชื่อต้นได้และหากมีคำนำหน้าชื่อ จำเป็นต้องเอ่ยให้ถูกต้องทุกครั้ง เมื่อได้พบปะรู้จักกับคนใหม่ๆ การทักทายด้วยการจับมือเป็นเรื่องปกติ แต่บ่อยครั้งที่อาจนำมืออีกข้างมาจับที่แขนประกอบด้วย จึงไม่ต้องตกใจไป คนอิตาลีมักชื่นชมผู้ที่มีการศึกษา มีความสามารถ ประสบความสำเร็จในอาชีพ และให้ความสำคัญกับศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม เพลง ไวน์ เสื้อผ้า อาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย และมีแหล่งมรดกโลกมากที่สุดในโลก ทั้งรวมหมด 58 แห่ง เป็นแหล่งที่สะท้อนความมั่งคั่งทางวัฒนธรรม
ศิลปะ ดนตรี วรรณกรรม ปรัชญา และแฟชั่น
ในยุคสหรัฐอเมริการุ่งเรืองในยุคนั้น หากจะมีใครสักคนที่สามารถส่งสินค้าไปขายให้กับอเมริกาได้ก็คงเป็น Gucci ตอนนั้นยังเป็นบริษัทผลิตเครื่องหนังที่ไม่ใหญ่มากนักคนอเมริกันกลุ่มแรกที่รู้จักก็คือเหล่าทหารอเมริกันที่มาแวะที่โรม และได้ซื้อกระเป๋าใส่สูทของ Gucci กลับไป จากนั้นไม่นานก็ได้ถูกชักชวนจากชาวอิตาเลี่ยนที่อาศัยอยู่ในอเมริกาให้มาเปิดร้านที่ฝั่งอเมริกา กระแสตอบรับเรียกได้ว่าท่วมท้นจนแทบขายไม่ทัน บวกกับเศรษฐกิจอเมริการในช่วงเวลานั้น ทำให้ Gucci มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่นิยมในเวลาอันรวดเร็ว JKF ได้ให้สมญานามว่า Gucci ถือเป็นเอกอัคราชฑูตของอิตาลีคนแรกที่ไปสู่อเมริกา ถือเป็นแบรนที่เปิดประตูสู่สินค้าของชาวอิตาเลี่ยนอีกมากมาย จากนั้นก็ตามมาด้วยแบรนสัญชาติดิตาลีอีกมากมาย ทั้ง Valentino, Prada, Fendi และอื่น ๆ
อีกหนึ่งแบรนที่ไม่พูดถึง เพราะถือเป็นประตูบานที่สองที่เปิดให้แบรนของชาวอิตาลีเป็นที่รู้จัก นั่นก็คือ Giogio Amarni เริ่มต้นจากการเป็นนักเรียนแพทย์ แต่ผันตัวมาเป็นนักออกแบบให้หลาย ๆ แบรน จนกระทั่งออกมาทำแบรนของตนเอง และจุดพลิกผันที่ทำให้ตัวแบรนโดดเด่นที่สุด เพราะนำเอาเสื้อผ้าให้กับนักแสดงนำในหนังเรื่อง American Gigolo (1980) ใส่ ซึ่งคนนั้นก็คือ ริชาร์ด เกียร์ และจากนั้น Giogio Amarni ก็กลายเป็นอีกหนึ่งแบรนที่ใคร ๆ ในยุคนั้นขอมีสักตัวไว้ติดตู้เสื้อผ้า
นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ ด้านดนตรี วรรณกรรม ปรัชญา และแฟชั่นที่สำคัญแล้ว อิตาลียังเป็นผู้มีอิทธิพลในด้านวงการบันเทิงของโลกอีกด้วย
อิตาลีเป็นประเทศเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมขนาดเล็ก(SME) มาโดยตลอด และมีคุณภาพชีวิตของประชากรที่สูงมาก ทั้งระบบการศึกษาชั้นเยี่ยม และสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย ถึงจะเหมือนคนไทยแค่ไหน แต่ก็มีความแตกต่างที่คนอิตาลีขับเคลื่อนชีวิตของเขาด้วย Passion ซึ่งเป็นผลดีที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของอิตาลีดีขึ้น
อ้างอิง กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว / ถอดบทเรียนการสร้างชาติอิตาลี