นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ให้ความเห็นว่า “ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเศรษฐกิจของไทยขึ้นอยู่กับภาคการท่องเที่ยวเป็นหลักคิดเป็นกว่า 90% ซึ่งแน่นอนว่าทั้งเศรษฐกิจและธุรกิจการค้าภายในประเทศจะปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามเราก็ยังไม่เห็นแผนการเปิดประเทศที่ชัดเจนและมีความไม่แน่นอน”
“การเปิดประเทศนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการจราจรของภาครัฐบาลกับประเทศคู่ค้าและประเทศกลุ่มท่องเที่ยวหลัก เพื่อให้ประชากรในประเทศเหล่านั้นเดินทางเข้ามาในไทย และหากเดินทางกลับไปไม่ต้องกักตัว พวกเขาต้องรู้สึกเชื่อมั่นและปลอดภัย ซึ่งนั้นหมายถึงว่าอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ในไทยต้องอยู่ระดับต่ำและประชากรส่วนใหญ่ฉีดวัคชีนแล้ว แต่ปัจจุบันต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในไทยจำเป็นต้องกักวัน และต่างชาติที่มาไทย เวลากลับไปประเทศของตนก็จำเป็นต้องกักตัว ซึ่งผมมองว่าคงมีกลุ่มที่เดินทางเข้ามาในไทยไม่มากนัก”
“เพื่อให้เราได้กลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่มีศักยภาพและช่วยให้เศรษฐกิจในไทยดีขึ้น ประเทศคู่ค้าหลักของเราต้องพร้อมด้วย เช่น จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ออสเตรเลีย รัสเซีย เป็นต้น สุดท้ายแล้วคำถามก็คือพวกเขาพร้อมหรือยังในการเปิดรับเดินทางระหว่างประเทศ ? และในอีก 120 วันข้างหน้า เราจะเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนได้มากน้อยแค่ไหน”
นายณัฎฐา คหาปนะ รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสำนักงานไนท์แฟรงค์ภูเก็ต บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า “แน่นอนการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวหรือนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ เพราะตลอดช่วงเวลาที่มีวิกฤตโควิด-19 ทำให้สัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 49% หายไปจากตลาดเลย ดังนั้นนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และการมีเป้าหมายของช่วงเวลาที่จะเปิดชัดเจนก็จะให้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการจะได้เตรียมพร้อมอีกด้วย”
“ส่วนความคาดหวังว่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นไหม นั่นจะขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัยด้วยกันไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อก่อนที่มีกำหนดเปิดประเทศ อัตราจำนวนผู้ได้ฉีดวัคซีนเป็นต้น”
“อย่างไรก็ตามการประกาศกำหนดการเปิดประเทศของรัฐบาลก็มีผลในเชิงบวก”