แอล.พี.เอ็น.พลิกกลยุทธ์ลงทุนอสังหาฯ แนวราบ 1,200 ล้านบาท

769

หลังจากกลุ่มแอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ ได้พยายามต่อจิ๊กซอว์เชื่อมโยงฐานลูกค้าคอนโดมิเนียมมีอยู่กว่า 1 แสนครอบครัว มาสู่ตลาดแนวราบในหลายปีที่ผ่านมา ในนาม บริษัท พรสันติ จำกัด เพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะการทำธุรกิจขาเดียวที่พึ่งรายได้จากคอนโดมิเนียมเป็นหลักอาจมีความเสี่ยงมากเกินไป โดยเฉพาะในภาวะตลาดคอนโดมิเนียม ปัจจุบันเจอหลากปัญหารุมเร้า ทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ตลาดหลายพื้นที่ เข้าสู่ภาวะอิ่มตัว

จรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรสันติ จำกัด กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า พรสันติ วางนโยบายเดินเกมบุกตลาดบ้านแนวราบอย่างจริงจัง โดยตั้งเป้ารายได้จาก ที่อยู่อาศัยแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว และ ทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 10% ของพอร์ตรายได้ทั้งหมดของแอล.พี.เอ็น.ภายใน 3 ปีนับจากนี้ และรายได้ 3,000 ล้านบาทใน 5 ปี โดยในปีนี้ คาดจะมีรายได้ 600 ล้านบาท ยอดขาย 1,500 ล้านบาท ส่วนในปี2557 มีรายได้ 600 ล้านบาท ยอดขาย 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ปัจจุบันแอล.พี.เอ็น. มีรายได้รวม 2 หมื่นล้าน

ภายหลังจากพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบมาแล้วกว่า 3 ปี และเริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น บริษัทจึงได้แยกแบรนด์สินค้าให้มีความแตกต่างไปจากคอนโดมิเนียม ได้เพิ่มชื่อแบรนด์ จาก “ลุมพินี” เป็น “บ้านลุมพินี” โดยแบ่งเป็นบ้านระดับราคาประมาณ 3 ล้านบาท ใช้แบรนด์ “บ้านลุมพินี ทาวน์ วิลล์” ระดับราคาประมาณ 5 ล้านบาท แบรนด์ “บ้านลุมพินี ทาวน์ เพลส” และ บ้านระดับบนแบรนด์ “บ้านลุมพินี ทาวน์ เรสซิเดนซ์”

บริษัทเชื่อว่าแนวโน้มตลาดแนวราบ มีการเติบโตสูงต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญจากแผนการลงทุนขยายโครงข่ายคมนาคม โดยเฉพาะรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ซึ่งขยายแนวออกไปนอกเมืองมากขึ้น มีผลทำให้การขยายตัวของเมืองออกไปรอบนอกมากขึ้น มีผลต่อการเพิ่มปริมาณที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยวมากยิ่งขึ้น หลังตลาดแนวราบได้ถูกตลาดคอนโดมิเนียม แซงหน้าไปเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา

Advertisement

“เราต้องการเพิ่มสัดส่วนฐานลูกค้าจากโครงการแนวราบ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนที่มีรายได้จากการขายโครงการคอนโด สูงถึง 96-97% ยิ่งในภาวะที่กำลังซื้อลดลง ตามสถาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งสินค้าคงค้างของแต่ละบริษัทมีอยู่มากพอสมควร ขณะที่การพัฒนาแนวราบเสี่ยงน้อยกว่า ขายได้เท่าไหร่ก็สร้างเท่านั้น ทดสอบดีมานด์ไปได้เรื่อยๆ สามารถรับรู้ รายได้เร็ว แต่คอนโด ต้องสร้างให้เสร็จ ถึงจะได้เงิน”

:ดึงพันธิมตรลุยคอมมูนิตี้มอลล์

แต่อย่างไรก็ดี บริษัทจะเน้นการขยายธุรกิจจากความชำนาญที่มีอยู่ เบื้องต้น จะเป็นที่พักอาศัยเป็นหลัก บวกกับค้าปลีกที่เชื่อมต่อการพักอาศัย เช่น คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในพื้นที่เป็นหลัก อย่างไรก็ตามเรื่องของค้าปลีกเป็นสิ่งที่บริษัทไม่ถนัด จึงดึงผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย

จรัญ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนจะใช้วิธีกระจายทำเล ขนาดโครงการ ไม่ใหญ่มาก เนื้อที่ 20-30 ไร่ จำนวน 200 ยูนิต ต่อโครงการ มูลค่าโครงการเฉลี่ย 500 ล้านบาท เน้นกลุ่มตลาดบ้านราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ คิดเป็นสัดส่วน 60-70% ของตลาดรวมทั้งหมด

และเพื่อให้การเติบโตเป็นไปตาม เป้าหมาย บริษัทจะเพิ่มการเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้น เฉลี่ยลงทุนปีละ 5 โครงการ จากปีที่ผ่านมาเปิด 2 โครงการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท

ปีนี้เป็นปีแรกเปิดทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่า 2,000-2,500 ล้านบาท ได้แก่ บ้านลุมพินี ทาวน์ เรสซิเดนซ์ บางนาศรีนครินทร์ เป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 7.3 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ 4 ชั้น จำนวน 27 ยูนิต มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท โครงการบ้านลุมพินี สวนหลวง ร.9 เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต ขนาดเนื้อที่ตั้งแต่ 55-70 ตร.ว. ราคาเริ่มต้น 8-15 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท

และโครงการบ้านลุมพินี ทาวน์ วิลล์ พระราม 2 สุขสวัสดิ์ เป็นทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เนื้อที่ 14 ไร่ จำนวน 170 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท และอีก 2 โครงการอยู่ระหว่าง การซื้อที่ดิน มองในทำเลสุขาภิบาล 5 เพิ่มเติม

:ชูจุดแข็ง’ลุมพินี’ชุมชนน่าอยู่

จรัญกล่าวว่า สำหรับหัวใจหลักในการแข่งขันนั้น แม้พรสันติยังเป็นน้องใหม่ แต่ก็มีแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จัก ลูกค้ารับรู้ถึงความเป็น”ลุมพินี” ซึ่งนำมาต่อยอดได้ และตลอด 26 ปีที่ผ่านมาของการทำธุรกิจ บริษัทมีลูกค้า 1 แสนครอบครัว และสิ่งที่ลูกค้านึกถึงคือ “ชุมชนน่าอยู่” แต่ชุมชนน่าอยู่โครงการ แนวราบกับคอนโด ไม่เหมือนกัน ความ แตกต่างคือแนวราบ มีพื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันน้อยกว่า การใช้ชีวิตแบบมีส่วนร่วมจึงน้อยกว่า แต่เชื่อว่า คนที่ซื้อบ้านจัดสรรต้องการคุณภาพชีวิต ที่ดี คุณภาพสังคมสูง ๆ

“เราต้องทำให้เกิด Together and Share หรือการอยู่ร่วมกันและแบ่งปัน โดยการประยุกต์ กลยุทธ์ชุมชมน่าอยู่ ลงไปในแนวราบ เพื่อสร้างการรับรู้ ความเป็นบ้านลุมพินีบ้านน่าอยู่ เราเน้นพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด โปรดักท์ แวลู คุณภาพ ราคาจับต้องได้ ภายใต้ทำเลที่ตอบโจทย์”

จรัญกล่าวว่า ในช่วง 10 ปีหลังที่ผ่านมา บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าที่มาจากบอกต่อ” เพิ่มจาก 27% เป็น 50% สะท้อนว่าลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์ลุมพินี จึงกล้าแนะนำให้คนอื่นมาซื้อ สำหรับโครงการแนวราบเราตั้งเป้าจะทำให้ได้แบบนั้นเหมือนกัน

“อยากสร้าง การรับรู้แบบเดียวกับร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ไม่ว่าจะเป็นคนละโครงการ ต่างทำเล ก็มั่นใจว่าจะได้สินค้าและบริการเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด”

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Advertisement
Haus23
Haus23
Haus23