หนึ่งในโครงการที่ถูกนำขึ้นโต๊ะการประชุมระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และเกษตรกร ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 (ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)สัญจรในวันที่ 18 กันยายน 2561 ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ คือ การเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ หลวงพระบาง-อินโดจีน-เมาะลำไย(Luangprabang-Indochina-Mawlamyine Economic Corridor : LIMEC) โดยที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ หลวงพระบาง-อินโดจีน-เมาะลำไย ไว้เป็นส่วนหนึ่งภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศลุ่มแม่นํ้าอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) “ฐานเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์นายวิโรจน์ จิรัฐิติกาลโชติ ประธานกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือ หอการค้าไทยถึงความสำคัญของโครงการนี้
LIMECบูมภาคเหนือตอนล่าง
นายวิโรจน์ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า ภาคเอกชนทั้ง 3 ประเทศบนระเบียงเศรษฐกิจนี้ ได้แก่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชนกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ประเทศไทย , สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแขวงไซยะบุรี สปป.ลาว สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว , สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมรัฐกะเหรี่ยง สหภาพเมียนมา และสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมรัฐมอญ สหภาพเมียนมา ได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจในการขับเคลื่อนและสนับสนุนการดำเนินงานโครงการ ภายใต้ระเบียงเศรษฐกิจหลวงพระบาง อินโดจีน เมาะลำไยโดยมีเป้าหมายและทิศทางการทำงานอันก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน จำนวน 4 ประการ ได้แก่
1.แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านธุรกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างกัน 2. จัดประชุมย่อยระหว่างภาคเอกชนในแต่ละประเทศเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน 3. ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานโครงการ และ 4.ผลักดันระเบียงเศรษฐกิจนี้ให้เกิดการยอมรับและเกิดโครงการต่างๆร่วมกันในอนาคต
ที่มาได้มีการประชุมร่วมกันมาแล้ว 3 ครั้ง และในการประชุมครั้งล่าสุดได้มีการประกาศปฏิญญาเพชรบูรณ์ (Phetchabun Declaration)อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ภายใต้เจตนารมณ์ “ความกินดีอยู่ดีของประชาชนใน 3 ประเทศ ซึ่งต้องมาจากความร่วมมือร่วมใจกันและจะเติบโตไปด้วยกัน” ครอบคลุมการเชื่อมโยงและเสริมสร้างความเข้มแข็งมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษา สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว
“การผลักดันระเบียงเศรษฐกิจดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม.สัญจรครั้งนี้ จะทำให้เกิดความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เพราะระเบียงเศรษฐกิจ หลวงพระบาง-อินโดจีน-เมาะลำไย ลำไย เป็นการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของ 3 ประเทศ และถ้าสำเร็จก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือล่าง 1 ให้ดีขึ้น”
เชื่อมโยงการค้า 3 ประเทศ
ระเบียงเศรษฐกิจ หลวงพระบาง-อินโดจีน-เมาะลำไย เป็นการเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ แขวงไซยะบุรี และแขวงหลวงพระบาง ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐกะเหรี่ยง และรัฐมอญ ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งระเบียงเศรษฐกิจนี้เป็นแนวเส้นทางที่เชื่อมโยง 3 ประเทศเข้าด้วยกัน ทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การศึกษา สุขภาพและโลจิสติกส์ จะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายทั้งสินค้า ประชากร และสารสนเทศ ระหว่าง 3 ประเทศ อันจะนำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างสามประเทศ ทั้งนี้ได้มีข้อเสนอในการสนับสนุนการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วย
การพัฒนาศักยภาพโครงข่ายทางหลวงหมายเลข 117 และเส้นทางรองเชื่อมโยงจุดผ่านแดนถาวรภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยการปรับปรุงมาตรฐานทาง ขยาย 2 ช่องจราจร พร้อมช่องจราจรไต่เขา และ 4 ช่องจราจร (พื้นที่ชุมชน) ปรับปรุงขยายสะพาน และระบบรางระบายนํ้า
การเชื่อมโยงเส้นทางการค้าของภาคเหนือตอนล่าง และประเทศเพื่อนบ้าน (LIMEC) ประกอบด้วย 1.การพัฒนานักธุรกิจรุ่นใหม่สำหรับธุรกิจระหว่างประเทศ 2.การประชุมนานาชาติ ไทย-เมียนมา-สปป.ลาว 3.การส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม จัดแสดงสินค้า ณ ประเทศเพื่อนบ้าน
4.การศึกษาเพื่อจัดตั้งศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าอาหารทะเลภาคเหนือตอนล่าง และ 5.การศึกษาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก สุโขทัย-ศรีเทพ-หลวงพระบาง
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ