การแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีเป้าในการเติบโตต่อเนื่อง ต้องการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ เพื่อเสริมสร้างรายได้และกระจายความเสี่ยงออกจากธุรกิจหลัก
“บริษัทพยายามกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจที่มีโอกาสและมีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักอย่างอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยมองว่าการแตกไลน์สู่ธุรกิจพลังงานทางเลือกอย่างการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สามารถส่งเสริมธุรกิจหลักที่เป็นการขายที่อยู่อาศัยได้” เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวถึงการแตกธุรกิจล่าสุดของบริษัท
ก่อนหน้านี้กลุ่มเสนาฯ ได้ร่วมกับกลุ่มบี.กริม เพาเวอร์ ลงทุนธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกจากแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าขายให้กับรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาพื้นที่จะลงทุน โดยคาดว่าจะเริ่มที่กำลังผลิต 10 เมกะวัตต์ ด้วยงบลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยธุรกิจนี้ธนาคารปล่อยกู้ให้สูงถึง 75% เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง เพราะรัฐเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า
ขั้นต่อมาคือการมองโอกาสขยายไปยังตลาดผู้บริโภค โดยเตรียมตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท คอนฟิเด้นท์ แคปปิตอล ซึ่งเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ในการทำตลาดโซลาร์รูฟ ซึ่งเป็นหลังคารับพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อแปลงเป็นไฟฟ้าเจาะกลุ่มผู้บริโภค
นอกจากนี้ การขยายสู่ธุรกิจโซลาร์รูฟครั้งนี้ยังได้ดึงบริษัท เฟิร์ส โซลาร์ ผู้ผลิตโซลาร์เซลล์รายใหญ่ของโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกามาร่วมเป็นพันธมิตรด้วย ซึ่งกลุ่มเสนาฯ จะทดลองนำเข้ามาติดตั้งในโครงการใหม่ 4 โครงการ ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 3 ปีนี้ จำนวน 150 ยูนิต
“การลุยตลาดโซลาร์รูฟ เพราะมองเห็นว่าเป็นโอกาส เนื่องจากเมืองไทยมีจำนวนบ้านใหม่เข้าสู่ระบบปีละ 3-4 หมื่นยูนิต ยังไม่นับรวมบ้านที่มีอยู่แล้ว ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่เอื้อกับการติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อดึงความร้อนจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า โดยหลังจากที่เริ่มกับ 4 โครงการใหม่แล้ว จะขยายฐานไปยังโครงการเดิมของกลุ่มเสนาฯ ที่มีกว่า 100 โครงการ ตั้งเป้ากำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ภายใน 1 ปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท” เกษรา กล่าว
โสภณ อัศวานุชิต ผู้บริหาร บริษัท คอนฟิเด้นท์ แคปปิตอล กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมในจัดหาแหล่งระดมทุนให้กับเสนาฯ ในโครงการโซลาร์รูฟนี้ โดยมองว่าเป็นธุรกิจที่มีโอกาส เพราะรัฐรับซื้อและคืนทุนเร็ว ถ้าเป็นบ้านของบริษัท เสนาฯ พื้นที่หลังคาขนาด 20 ตร.ม. จะลงทุนประมาณ 2.3 แสนบาท กำลังการผลิต 3.5 เมกะวัตต์/ชั่วโมง ใน 1 วันจะมีกำลังการผลิต 17.5 เมกะวัตต์ ใน 1 เดือน มีกำลังการผลิต 525 เมกะวัตต์ รัฐรับซื้อไฟฟ้าในราคา 6.85 บาท/กิโลวัตต์ เท่ากับมีรายได้ประมาณ 3,500 บาท/เดือน หรือมีรายได้ 4.2 หมื่นบาท/ปี ใช้เวลาประมาณ 5 ปีในการคืนทุน
นอกจากธุรกิจพลังงานสะอาดซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกจะเป็นธุรกิจที่ไม่เสี่ยงและมีอนาคตที่ สดใสแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับการท่องเที่ยวก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่พึ่งพิงได้จากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวทุกๆ ปี การลงทุนในธุรกิจโรงแรมจึงเป็นทางเลือกในการขยายธุรกิจ แม้ว่าในบางตลาดการแข่งขันจะรุนแรง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้ทุกปีเป็นเหตุผลให้บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค รุกคืบเข้าสู่ธุรกิจโรงแรม เพื่อหวังเสริมรายได้ระยะยาว โดยการซื้อกิจการของบริษัท ไทย พร็อพเพอร์ตี้ และบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้
ชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพ เพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า การซื้อกิจการจะแล้วเสร็จประมาณเดือน ก.ค.ปีนี้ ทางกลุ่มเพอร์เฟคเตรียมแผนพัฒนาโครงการร่วมกับกลุ่มแกรนด์ฯ 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 4,000-5,000 ล้านบาท เป็นโครงการโรงแรม 2 โครงการ และคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า 1 โครงการ ซึ่งจะเปิดตัวประมาณไตรมาส 4 ปีนี้
ขณะที่โครงการคิโรโระ สกี รีสอร์ท ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้เตรียมเซ็นสัญญากับจ้างเชนจากอเมริกาเข้ามาบริหารภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วนการแตกไลน์ไปสู่ธุรกิจค้าปลีก บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรจากต่างประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการค้าปลีก บริเวณห้างจัสโก้ ถนนรัชดาภิเษกเดิม จะได้ข้อสรุปหลังจากดีลคิโรโระ สกี รีสอร์ทจบ
อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัทรายกลาง-เล็ก ที่ถูกมองว่าจะอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันที่รุนแรงของบริษัทใหญ่ที่มีทุนหนาได้ยากขึ้น แต่ผู้ประกอบการขนาดกลาง-เล็ก หลายรายต่างก็เชื่อว่ายังสามารถแข่งขันได้ หากรู้จักปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่เหมาะสม ไม่ลงทุนที่เกินตัว ที่สำคัญคือ พร้อมที่จะหยุดถ้าเสี่ยงที่จะทำ
อดิศร วิเวกานนท์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไตร พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า บริษัทได้ชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ที่ จ.ภูเก็ต ออกไปก่อน เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยภูเก็ตยังชะลอตัวจากผล กระทบทางเศรษฐกิจโลกทำให้นักท่องเที่ยวชะลอตัวลงไป จากแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ปีนี้ 2-3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเปิดตัวโครงการพราว 3 บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 23 และอีก 1 โครงการ อยู่แนวรถไฟฟ้า
ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แต่ละรายที่ต้อง หาทางออกให้กับตัวเองในภาวะที่ตลาดแข่งขันรุนแรง จึงต้องหาเกราะป้องกันลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้เสมอ
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์