“ธปท.” ชี้ แบงก์มียอดปฏิเสธสินเชื่อไตรมาส3 /63พุ่ง ภาคเหนือหนักสุด 40-50% “กรุงไทย“ ยอมรับปล่อยกู้เข้มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หวั่นลูกค้ามีหนี้เกินตัว ”กรุงศรี” ประเมินภาพรวมปล่อยกู้บ้านใหม่ ติดลบสองหลัก ด้าน“ทหารไทย”คาดเอ็นพีแอลสิ้นปี 4.35%
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)รายงานแนวโน้มธุรกิจไตรมาส3และแนวโน้มไตรมาส 4 ปี 2563 โดยมีการเปิดทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทยรายภูมิภาค พบว่าตลาดอสังหาฯไทยยังชะลอตัว ซึ่งตลาดอสังหาฯราคาระดับกลางถึงสูงยังไปต่อได้ เนื่องจากลูกค้าระดับกลางถึงบนยังมีความต้องการที่อยู่อาศัย แต่ต้องเฝ้าระวังทั้งอาคารชุดและบ้านแนวราบระดับราคาล่างถึงกลางที่ขายได้ยากขึ้น ด้านสภาพคล่องสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังหมดมาตรการพักหนี้เป็นการทั่วไป
ทั้งนี้หากดูด้านการปล่อยสินเชื่อในตลาดอสังหาฯ รายภาคในปัจจุบัน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลาง พบว่า มียอดปฏิเสธสินเชื่อหรือ Rejection Rate เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ภาคเหนือ ความต้องการที่อยู่อาศัยยังมี แต่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ โดยเห็นยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น 40-50% แม้เคยทำ Pre-approve ไว้ก่อนหน้า
ขณะที่ภาคใต้พบว่า ลูกค้าที่ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว มีปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อ โดยลูกค้าเจอทั้งการกดรายได้ให้ต่ำกว่าความเป็นจริง การพิจารณาสัดส่วน LTV ที่ต่ำกว่าปกติ หรืออาจไม่ได้รับการพิจารณาสินเชื่อเลย
ด้านนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า ปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อบ้านของธนาคารก็สอดคล้องกับเศรษฐกิจ สอดคล้องกันทั้งระบบที่มีความเข้มงวดมากขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ดังนั้นก็เป็นสิ่งที่แบงก์ต้องระมัดระวัง เพื่อดูแลฐานทุนของธนาคารขณะเดียวกัน ปัจจุบันภายใต้ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น จากภาระหนี้ของครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารก็ไม่อยากให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เกินควร โดยการคำนึงถึงการปล่อยสินเชื่อแบบรับผิดรับชอบ หรือ Responsible lending
ด้านนายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) กล่าวว่า การพิจารณาให้สินเชื่อบ้านกับลูกหนี้ ส่วนใหญ่แบงก์จะพิจารณาจากความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้เป็นหลัก แต่ปัจจุบันพบว่าลูกหนี้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อแบงก์ได้ เพราะลูกหนี้มีฐานะการเงินอ่อนแอลง รายได้ลดลง และมีภาระหนี้สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ถูกปฏิเสธสินเชื่อ ดังนั้นไม่ได้มาจากการที่แบงก์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่มาจากฐานะลูกหนี้ที่มีความสามารถชำระหนี้ลดลงเป็นหลัก
สำหรับภาพรวมการปล่อยสินเชื่อ คาดการณ์ว่าปีนี้ สินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ น่าจะติดลบแน่นอนสองหลัก ซึ่งสอดคล้องกับทั้งระบบ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ และผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้การซื้อบ้านใหม่ลดลง แต่หากดูสินเชื่อคงค้างพบว่ายังเติบโตได้ในปีนี้ หลักๆมาจากการที่ธนาคารสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ได้ ทำให้ลูกค้าเก่าไม่รีไฟแนนซ์ออกจากแบงก์ ส่งผลให้สินเชื่อคงค้างยังเติบโตต่อได้ในปีนี้ จากปัจจุบันที่พอร์ตสินเชื่อบ้านคงค้างอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นหากเทียบกับที่สินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท
นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ธนาคารทหารไทย หรือ TMB Analytics กล่าวว่า หากคาดการณ์สินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ปีนี้ คาดว่าจะติดลบราว 10-12% หากเทียบกับปัจจุบันที่หดตัว 8% ซึ่งมาจากความสามารถในการขอสินเชื่อของลูกหนี้ต่ำลง จากรายได้ที่ลดลงเป็นหลัก
ขณะที่คาดสินเชื่อบ้านคงค้างปีนี้ น่าจะเติบโตลดลงมาอยู่ที่ 0.5%มาอยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท เป็นผลจากการเริ่มกลับมาชำระหนี้คืนมากขึ้น หลังหมดมาตรการช่วยเหลือ ทำให้อาจเห็นสินเชื่อลดลงได้ หากเทียบกับไตรมาส3 ที่สินเชื่อขยายตัว3%
สำหรับแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดสิ้นปีจะอยู่ที่ 4.35% หรือคิดเป็นมูลค่าหนี้เสีย 1.1แสนล้านบาท หากเทียบกับไตรมาส 3 ที่เอ็นพีแอลอยู่ที่ 4.14% หรือ 9.7 หมื่นล้านบาท
โดยปัจจัยที่ทำให้หนี้เสียของสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลักๆมาจาก สภาพคล่องของลูกหนี้ตึงตัวมากขึ้น ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ที่ผ่านมามีการหันไปพึ่งพาการกู้สินเชื่อบุคคลมาช่วยพยุงในช่วงที่รายได้ชะลอตัว ส่งผลให้ภาระหนี้ต่อรายได้หรือ DSR ของลูกหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิน 50% ของภาระหนี้ต่อรายได้ จนอาจกระทบต่อความสามารถชำระหนี้ในอนาคตให้ลดลงได้ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีการระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้น
“เราเชื่อว่าปัญหาหนี้จะยาวกว่า ระยะเวลาที่จะฟื้นตัวจากโควิด-19 เพราะเดิมสินเชื่อหดตัวอยู่แล้ว พอมีโควิด-19 ยิ่งเข้ามากระทบกำลังซื้อให้ยิ่งหดตัว ดังนั้นคาดปีหน้าก็ยังฟื้นตัวยาก แม้จะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ภาระหนี้ยังท่วม ยังค้ำคอผู้กู้ จากภาระหนี้เกินรายได้ที่มีสูงขึ้น”
ที่มา : www.bangkokbiznews.com