ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยตลาดคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ อนาคตสดใสเช่นเดียวกับที่เทรนด์การอยู่อาศัยในย่านซุปเปอร์ไพร์มในกรุงลอนดอนอยู่ในช่วงขาขึ้น

545

ตลาดคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ไพร์มในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯและกรุงลอนดอนเป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อระดับอภิมหาเศรษฐีทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระดับซุปเปอร์ไพร์มเพื่อใช้อยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่สองขณะที่อุปสงค์ด้านคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ไพร์มในทั้งสองเมืองนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ราคาขายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดตามไปด้วย

 

มร. แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยระบุว่าคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯเติบโตเป็นอย่างมากในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา โดยคอนโดกลุ่มนี้ได้ก้าวเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี 2008 จากการเปิดตัวโครงการ เดอะสุโขทัยเรสซิเดนซ์เซส (The Sukhothai Residences) ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสาทร นับว่าเป็นโครงการคอนโดมีเนียมระดับซุปเปอร์ไพร์มแห่งแรกในประเทศ

 

มร. ข่านเผยว่า ราคาขายโดยเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมสุดหรูในกรุงเทพฯในย่านศูนย์กลางธุรกิจได้ไต่ระดับขึ้นจาก 184,000 บาทต่อตารางเมตรไปจนถึงเกือบ400,000 บาทต่อตารางเมตรในช่วงกลางปี 2015ที่ผ่านมา มร. ข่าน ยังกล่าวต่ออีกว่า การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาขายคอนโดหรูเหล่านี้มีสาเหตุหลักมาจากการขาดแคลนที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทหรูหราบนอาคารสูงในย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็นย่านสุขุมวิทราชดำริสีลมสาทรศาลาแดง หลังสวน เพลินจิต ชิดลมหรือถนนวิทยุ “ดังนั้นโครงการใดๆ ก็ตามที่จะเปิดตัวในพื้นที่เหล่านี้จะต้องเป็นคอนโดมิเนียมซุปเปอร์ไพร์มหรือระดับไฮเอนด์จึงทำให้ราคาขายสูงตามไปด้วย” มร. ข่าน กล่าว

Advertisement

 

ปัจจุบัน ตลาดซุปเปอร์ไพร์มมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงร้อยละ 1 ของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯเท่านั้น จากโครงการรวมทั้งหมดจำนวน 8 โครงการ ทั้งนี้ ผลการวิจัยจากนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยว่า อุปทานคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ไพร์มในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2015 นั้น มีจำนวนทั้งหมด1,541หน่วย หากเปรียบเทียบกับจำนวนเพียง196 หน่วยในปี 2008 โดยย่านลุมพินีนำหน้าย่านศูนย์กลางธุรกิจอื่นๆ ในกรุงเทพฯ ในด้านอุปทานที่สูงที่สุด ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 33 หรือ 508 หน่วยจาก 1,541 หน่วย ตามมาด้วยย่านสาทรคิดเป็นร้อยละ25สุขุมวิท ร้อยละ 22และย่านริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร้อยละ 20

 

ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมซุปเปอร์ไพร์มมักวางจุดขายของโครงการระดับหรูนี้ให้เป็น “สินค้าไลฟ์สไตล์” ที่มีบริการเต็มรูปแบบหรือเทียบเท่ากับบริการจากโรงแรมระดับ5-6 ดาว มร. ข่านกล่าวว่าคอนโดมิเนียมเหล่านี้มีขนาดกว้างขวางและหรูหรา ราคาขายต่อหน่วยเริ่มต้นที่ 15-20 ล้านบาทโดยส่วนใหญ่มีขนาดตั้งแต่ 2-3 ห้องนอน ก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2013 -2014 มีบางโครงการที่สร้างคอนโดหรูหราประเภท 1 ห้องนอน อย่างไรก็ตามคอนโดดังกล่าวมีขนาดที่กว้างขวาง โอ่อ่าเท่าเทียมกันและตั้งอยู่ในอาคารสูงคอนโดมิเนียมซุปเปอร์ไพร์มเหล่านี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาส พร้อมพื้นที่จอดรถที่กว้างขวาง โดยส่วนมากจะได้รับการบริหารจัดการโดยเครือโรงแรมระดับ 5 ดาวจุดเด่นของโครงการคือความสะดวกสบาย ซึ่งถือเป็นส่วนผสมที่สำคัญของความหรูหราระดับซุปเปอร์ไพร์ม เพราะผู้ซื้อมองหาความสะดวกสบายในการเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานระดับสากล โรงเรียนนานาชาติรวมทั้งแหล่งร้านอาหารและร้านค้าช้อปปิ้งระดับไฮเอนด์ เป็นต้น

 

มร. ข่านยังได้วิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอนอีกด้วย โดยเผยว่าเทรนด์การอยู่อาศัยในระดับซุปเปอร์ไพร์มนั้นยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ประเภท 2-3 ห้องนอนที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ900- 1,200 ตารางฟุต (90-120 ตารางเมตร) กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโดยเฉพาะในย่านไพร์มของกรุงลอนดอน เช่นKensington, Knightsbridge, Westminster, Belgravia, Hyde Park, และ Notting Hill

 

ราคาของคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ไพร์มในลอนดอนขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ20 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยราคาได้ไต่สูงขึ้นถึง 2,200-2,900 ปอนด์ต่อตารางฟุตในปัจจุบัน

 

นอกจากย่านไพร์มใจกลางกรุงลอนดอน (Prime Central London) แล้ว ย่านที่มีพื้นที่ติดกัน ซึ่งเรียกว่า Prime Outer London เช่น Tower Bridge, King’s Cross, Waterloo, Canary Wharf ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วและกำลังจะกลายเป็นทำเลทองแห่งใหม่สำหรับโครงการซุปเปอร์ไพร์มในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าใต้ดินความเร็วสูง หรือCrossrailที่มีมูลค่าโครงการกว่า2 พันล้านปอนด์ โดยมีกำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2018 “ระบบขนส่งนี้เปรียบเสมือนทางลัดที่จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางจากย่านนี้ไปในยังศูนย์กลางธุรกิจ เช่นBond Street และ Oxford Streetซึ่งจะใช้เวลาเพียง 15 นาทีเทียบกับปัจจุบันที่ใช้เวลาถึง45 นาที” มร. ข่านกล่าว

 

ผลวิจัยจากไนท์แฟรงค์คาดการณ์ว่า ในช่วงปี2015-2018 ราคาที่พักอาศัยในย่าน Prime Central London จะทะยานสูงขึ้นเป็นร้อยละ 22 ในขณะที่ย่าน Prime Outer London จะได้ขยายตัวที่ร้อยละ 22-23เช่นเดียวกัน

 

มร. ข่าน กล่าวต่ออีกว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมในกรุงลอนดอนจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสัดส่วนของอุปสงค์ที่สูงกว่าอุปทาน ผลวิจัยจากไนท์แฟรงค์ระบุว่า ในขณะนี้อุปทานเฉลี่ยอยู่ที่ 35,000หลังต่อปี ในขณะที่อุปสงค์อยู่ที่50,000หลังต่อปี”เมื่ออุปสงค์มากแต่อุปทานน้อย ทุกคนจึงต้องการที่จะเป็นผู้ขายดังนั้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอนในขณะนี้จึงกลายเป็นตลาดที่เติบโตอย่างมาก” มร. ข่านกล่าว

 

มร. ข่านสรุปต่อท้ายว่าตลาดคอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ไพร์มในกรุงเทพฯ จะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในช่วงปลายปี 2015 หากแต่ AEC จะช่วยกระตุ้นตลาดการเช่าที่อยู่อาศัยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการย้ายถิ่นฐานของผู้คนในภูมิภาคเพื่อเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯและต้องการที่จะเช่าที่พักอาศัยตั้งแต่ระดับเกรด B +ถึงเกรด A

 

Advertisement
Haus23
Haus23
Haus23