ประกาศระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค เน้นพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่

3514
EEC เศรษฐกิจพิเศษ อีอีซี

กพศ. เห็นชอบการประกาศพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่แต่ละภาค เติบโตยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาล

วันนี้ (5 พฤษภาคม 2565) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (VDO Conference) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมมีมติ เห็นชอบการประกาศพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค

  • เห็นชอบการประกาศพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 4 ภาค และให้นำเรื่องการกำหนดพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยกำหนดให้พื้นที่ 1) จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน และจังหวัดลำปาง เป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ หรือ Northern Economic Corridor : NEC – Creative LANNA เพื่อยกระดับให้เป็นพื้นที่ลงทุนด้านการพัฒนาให้เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์หลักของประเทศอย่างยั่งยืน 2) จังหวัดขอนแก่น จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคายเป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ Northeastern Economic Corridor : NeEC – Bioeconomy เพื่อพัฒนาให้เป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพแห่งใหม่ของประเทศ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตลอดห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงการเกษตรและอุตสาหกรรมชีวภาพ  3) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนครปฐม จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี เป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง – ตะวันตก หรือ Central – Western Economic Corridor : CWEC เพื่อพัฒนาให้เป็นฐานเศรษฐกิจชั้นนำในด้านอุตสาหกรรมเกษตรการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไฮเทคมูลค่าสูงระดับมาตรฐานสากล เชื่อมโยงกรุงเทพฯ พื้นที่โดยรอบ และ EEC และ 4) จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือ Southern Economic Corridor : SEC เพื่อพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางของภาคใต้ในการเชื่อมโยงการค้าและโลจิสติกส์กับพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศและประเทศในภูมิภาค ฝั่งทะเลอันดามัน และเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพและการแปรรูปการเกษตรมูลค่าสูง รวมทั้งเป็นพื้นที่การท่องเที่ยวระดับนานาชาติ
  • เห็นชอบการขยายระยะเวลาสิทธิประโยชน์การยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากหนองคาย มุกดาหาร นครพนม และกาญจนบุรี จากเดิม ระยะเวลาสิ้นสุดภายในปี 2563 เป็น ให้สิ้นสุดภายในปี 2566 เพื่อเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน โดยหากเอกชนลงทุนภายในปี 2565 จะได้รับการยกเว้นค่าเช่าเป็นเวลา 2 ปี และหากเอกชนลงทุนภายในปี 2566 จะได้รับการยกเว้นค่าเช่า 1 ปี และมอบหมายให้กรมธนารักษ์ดำเนินการเปิดประมูลที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก หนองคาย และมุกดาหารตามกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้
  • เห็นชอบการปรับปรุงแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม ประกอบด้วย โครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR – Map) จำนวน 10 เส้นทาง มีระยะทางรวม 6,530 กิโลเมตรเพื่อรองรับการพัฒนาและเชื่อมโยงฐานการผลิตและบริการกับพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศและโครงการถนนสาย ทล. 2 – สถานีรถไฟนาทา อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย และรองรับขนส่งสินค้าทางรถไฟ
  • เห็นชอบแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมุ่งเน้นการตลาด การประชาสัมพันธ์ และ Roadshow เพื่อสร้างโอกาสของประเทศไทยในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจของโลกเผชิญกับความผันผวนและห่วงโซ่อุปทานเกิดความเปลี่ยนแปลงในแต่ละภูมิภาค นอกจากนี้ ให้สร้างการรับรู้ต่อสาธารณะเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง
  • นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบให้ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามองค์ประกอบของการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษใน 5 ด้าน ประกอบด้วย (1) การให้สิทธิประโยชน์และการอำนวยความสะดวกการลงทุน (2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (3) การพัฒนาห่วงโซ่การผลิตและบริการ (4) การพัฒนาแรงงานและสนับสนุนผู้ประกอบการ  และ (5) การวิจัยและพัฒนาและการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับเขตตรวจราชการกำกับการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจในแต่ละภาคตามองค์ประกอบดังกล่าว โดยให้นำความก้าวหน้าการดำเนินงานมารายงานต่อ กพศ.
  • ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปหาแนวทางในการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามแนวเส้นทางคมนาคมต่าง ๆ ที่มีศักยภาพ และตามแนวเส้นทางรถไฟต่าง ๆ มาสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุดและส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับประเทศ การขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 4 ภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง-ตะวันตก และภาคใต้) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล และต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อทำให้ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตพร้อมเพรียงกันทุกภาค ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยพัฒนาฐานเศรษฐกิจในประเทศให้เจริญเติบโต กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และพัฒนาเตรียมแรงงานของประเทศและบริหารจัดการแรงงานทั้งในประเทศและแรงงานต่างประเทศให้เพียงพอ ควบคู่กับการสร้างเศรษฐกิจใหม่ของประเทศให้เพิ่มขึ้น กระจายความเจริญและกระจายคนจากเมืองใหญ่ไปสู่พื้นที่นอกเมืองและภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า ต้องมีการพัฒนาและใช้ศักยภาพแต่ละพื้นที่ให้เกิดประโยชน์รวมถึงการดำเนินการส่งเสริมให้ประชาชนและเกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาดและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของโลก โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการดำเนินการและคำนึงถึงการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐบาล พร้อมสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศเข้มแข็ง และมีการพัฒนาด้านการตลาดที่ตอบสนองตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์เพื่อเพิ่มมูลค่าและจำหน่ายได้มากขึ้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติม ว่าการดำเนินงานต้องเป็นไปตามแผนและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ทางกายภาพ การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) การพัฒนาตามแนวชายแดน รวมทั้งการลงทุนด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งต้องมีการวางแผนในระยะยาวสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้อย่างยืดหยุ่น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยและสถานการณ์โลกได้ตลอดเวลา พร้อมกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการสร้างความเข้าใจร่วมกัน และสร้างความร่วมมือระหว่างกันทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน  โดยการดำเนินการต่าง ๆ ประชาชนต้องได้รับประโยชน์มากที่สุด ควบคู่ไปกับการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางดิจิทัลออนไลน์ การสร้างสร้างอาชีพ พัฒนาแรงงาน ในพื้นที่เศรษฐกิจของแต่ละภาค รวมทั้งแนวชายแดน พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าการดำเนินงาน ปรับแก้ไขให้สอดคล้องกับบริบทในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติ

ที่มา : www.pptvhd36.com

Advertisement
Advertisement
Haus23
Haus23
Haus23