ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย หนึ่งในบริษัทให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ เปิดตัวบริการใหม่ด้านการขายและการตลาดสำหรับ โครงการบ้าน ด้วยประสบการณ์การทำงานมากกว่า 20 ปีในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นที่ปรึกษาด้านที่อยู่อาศัยที่น่าเชื่อถือและมีเครือข่ายทั่วโลกมามากกว่า 17 ปี เราได้รับความไว้วางใจและประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการโครงการทั้ง 48 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งทุกโครงการได้รับการตอบรับอย่างดี ฐานข้อมูลลูกค้าที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์แคมเปญทางการตลาดและการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริการการขายและการตลาด โครงการบ้าน ให้คำปรึกษาด้านการออกแบบและพัฒนาโครงการ, กลยุทธ์การกำหนดราคาเพื่อการตั้งราคาขายในตลาดที่เหมาะสม, กลยุทธ์ทางการตลาด, การบริหารการขายระดับเอ็กซ์คลูซีพ, การวิจัยตลาดเชิงลึก, และระบบการจัดการฐานข้อมูล บริการนี้มีเป้าหมายที่จะบริหารจัดการโครงการทั้งสิ้น 10 โครงการในช่วงเริ่มต้นเพื่อการบริหารและจัดการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานในตลาดบ้านมานานกว่า 10 ปี รวมถึงร่วมงานกับบริษัทมหาชนมาหลายแห่ง
มร. แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “สำหรับในตลาดคอนโดมิเนียมในตอนนี้เราให้บริการอย่างครบวงจรแล้ว ถึงเวลาที่เราจะก้าวต่อไปยังตลาดบ้านที่ยังคงมีช่องว่างในการเติบโตอยู่ ซึ่งเราจะให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนถึงจบในตลาด ในฐานะที่ปรึกษาในตลาดอสังหาฯมายาวนาน เรามีระบบฐานข้อมูลที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบหลักของเราในการแข่งขันในตลาดและตอบสนองความต้องการของตลาดที่กำลังเปลี่ยนไป
ปัจจุบันนักพัฒนาโครงการเจาะกลุ่มหลากหลายตลาดมากขึ้น เช่น บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดแทนการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกทั้งยังไม่มีการเก็งกำไรในตลาดนี้ ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ปีนี้ เราเห็นว่าตลาดบ้านในประเทศนั้นแสดงสัญญาณการซื้อขายที่เป็นบวกและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวที่มีมูลค่าตั้งแต่ 10-20 ล้านบาท ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และซื้อไว้เพื่อใช้อยู่อาศัยเอง นอกจากนี้ผู้ซื้อส่วนใหญ่ค่อนข้างร่ำรวยและเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีความมั่นคง พวกเขาต้องการบ้านและเนื้อที่ที่กว้างขึ้นสำหรับครอบครัวใหม่ในทำเลไพร์ม ทำเลที่เป็นที่นิยมส่วนใหญ่อยู่ในเขตเอกมัย-รามอินทรา, ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์, ศรีนครินทร์-บางนา, ราชพฤกษ์-พระราม 5, และพัฒนาการ-กรุงเทพกรีฑา”
มร. ข่านกล่าวเสริมว่า “พวกเขามองเห็นโอกาสที่จะซื้อบ้านในช่วงเวลาวิกฤตินี้เนื่องจากโปรโมชั่นที่น่าสนใจและราคาขายที่ต่ำกว่าปกติ ด้วยเหตุผลเหล่านี้บวกกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นทุกๆ สี่ปีเป็นตัวเร่งสำคัญในการซื้อขายปัจจุบัน
เทรนด์การใช้ชีวิตที่บ้านก็กำลังเปลี่ยนไปเช่นกัน ระยะทางไกลหรือทำเลที่ตั้งนอกเมืองอาจเป็นที่ยอมรับได้ตราบใดที่พวกเขาพอใจกับความต้องการ อย่างการเข้าถึงย่านศูนย์กลางธุรกิจได้สะดวก และการอยู่ใกล้กับสถานที่หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น โรงเรียนของลูก และบ้านของพ่อหรือแม่ นอกจากนี้ความเป็นอยู่ที่ดีและความปลอดภัย รวมถึงการอาศัยในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นน้อยอาจกลายเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา ในขณะที่ราคาขายถูกคำนึงถึงน้อยกว่า”