มร.คาร์ลอส มาร์ติเนซ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ในปี 2565 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาภูเก็ต 1.6 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจากจำนวนเพียง 184,000 คนในปี 2564 คิดเป็นการเติบโต 778% ปีต่อปีเป็นผลมาจากข้อตกลงการเดินทางในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 กับประเทศคู่ค้าเช่น อินเดีย มาเลเซีย และเวียดนาม และการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดในเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งกระตุ้นให้จำนวนผู้เดินทางไปยังภูเก็ตเพิ่มมากขึ้น
นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซีย อินเดีย และรัสเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มักมาเที่ยวภูเก็ตเป็นประจำ อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญที่สุด เข้ามาเพียงไม่กี่พันคน เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดที่เข้มงวด ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางทั้งขาออกและขาเข้า
ถึงแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาภูเก็ตในปี 2565 คิดเป็นเพียง 30% ของจำนวนก่อนโควิดในปี 2562 แตค่าดการณ์ว่าจำนวนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากจีนได้ยกเลิกนโยบายโควิดในเดือนมกราคม 2566 และการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศดีขึ้นในปี 2566
อุปสงค์และอุปทาน
ในปี 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังจากที่ประเทศกลับมาเปิดเต็มรูปแบบ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น 47% ในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นมาถึง 39% ปีต่อปี จากเดิม 8% ในปี 2564 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 48% ปีต่อปี จาก 2,686 บาท เป็น 3,974 บาทในปี 2565 ทำให้การฟื้นตัวของค่าเฉลี่ยรายได้ต่อห้องดีขึ้นอย่างมากจากจุดต่ำสุด 208 บาท เป็นอยู่ที่ 1,885 บาท ขณะที่ตลาดโรงแรมระดับลักซัวรี่และอัพสเกลในภูเก็ตมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ในปี 2565 มีโรงแรมเปิดใหม่ในภูเก็ต 4 แห่ง ทำให้อุปทานของตลาดโรงแรมของภูเก็ตเพิ่มขึ้น 485 ห้อง ได้แก่ โนกุ ภูเก็ต (91ห้อง) โรงแรมสไตล์วิลล่ารีสอร์ทหรูตั้งอยู่บนเนินเขาห่างจากชายหาด และโรงแรมระดับกลาง 3แห่ง ได้แก่ โกลว์ มิรา กะรน บีช (154ห้อง) โจน๊อกซ์ ภูเก็ต กะรน (121ห้อง) และโรงแรมเกรซ ป่าตอง (119ห้อง) ทั้ง 3 แห่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ
ณ สิ้นปี 2565 จำนวนอุปทานห้องพักโรงแรมในภูเก็ตมีจำนวนทั้งสิ้น 44,024 ห้อง เพิ่มขึ้น1.1% ปีต่อปี และมีโรงแรมที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งน่าจะเพิ่มเข้ามาในตลาดอีกกว่า 2,000 ห้องภายในปี 2568
แอคคอร์เป็นกลุ่มโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต มีห้องพัก 4,410 ห้อง จากโรงแรมทั้งหมด 22 แห่ง ตามมาด้วยแมริออท 2,977 ห้อง และวินด์แฮม 1,808 ห้อง ในแง่ของพื้นที่ หาดป่าตองยังคงเป็นพื้นที่ที่มีอุปทานห้องพักมากที่สุด 36% รองลงมาคือ กะรน 18% กะตะ 12% ในยาง 8% บางเทา 8% และกมลา 7% ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของภูเก็ต
แนวโน้ม
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูเก็ตเติบโตอย่างมากระหว่างปี 2552 ถึง 2562 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา ซึ่งสูงถึง 5.3ล้านคนในปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเวลาดังกล่าวคิดเป็นอัตราการเติบโต 16.4% ต่อปี แต่การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้อุปสงค์ลดลงอย่างมากในปี 2563 และ 2564
ประเทศไทยยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางทั้งหมดในเดือนตุลาคม2565 อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่คำนึงถึงการฉีดวัคซีน ทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้น โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรายเดือนกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดจาก 30% ในเดือนมกราคม เป็น 83% ในเดือนธันวาคมสำหรับนักท่องเที่ยวภายในประเทศ และจากนักท่องเที่ยงต่างชาติ 15% เป็น 59%
จีนเป็นกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดก่อนเกิดโรคระบาด ยกเลิกนโยบายโควิดในเดือนมกราคม 2566 ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น
เรามองว่าภูเก็ตจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากความต้องการของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการกลับมาเปิดประเทศของจีน แม้มีปัจจัยอย่างที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวในปี 2566 เช่น ระยะเวลาการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีน และราคาตั๋วเครื่องบิน หากมองในแง่ดี ภาคการท่องเที่ยวของภูเก็ตจะกลับมาสู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดภายในสิ้นปี 2566
ปี 2566 ผลการดำเนินงานของโรงแรมส่วนใหญ่จะได้รับแรงหนุนมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะตลาดกลุ่มบน อัตราการเข้าพักของโรงแรมคาดว่าจะสูงกว่าปีที่แล้ว แต่ยังคงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด อย่างไรก็ตาม ค่าห้องเฉลี่ยต่อวัน (ADR) จะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับก่อนเกิดโควิดจากการเปิดประเทศของจีน