ชู”อีอีซี”โซนนิ่งบ้านหรูดึงมหาเศรษฐีทั่วโลก

2488

ปัญหาการหดตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการหดตัวของเศรษฐกิจโลก และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้ในช่วง2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลมีการส่งหนังสือเชิญนักธุรกิจในทุกภาคส่วน รวมถึงตัวแทนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เข้ามาร่วมหาแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วงดังกล่าวมีการนำเสนอข้อแนะนำด้านต่าง ๆจำนวนมาก หนึ่งในจำนวนนั้นคือ การฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์

ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์
ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์

ล่าสุด “ธนินท์ เจียรวนนท์”ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวถึงโอกาสของประเทศไทยในการฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจในรายการแบไต๋ในช่องYouTubeว่าในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19ระบาดอยู่ทั่วโลกมีเพียงประเทศไทยที่ควบคุมและป้องกันการระบาดของเชื้อโควิด-19ได้ดีเป็นอันดับ1ของโลกการรักษาผู้ติดเชื้อในประเทศทำได้ดีที่สุดในโลก แม้กระทั่งประเทศไต้หวัน สิงคโปร์มาเลเซีย ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศโซนร้อนด้วยกัน แต่จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมามากกว่าประเทศไทย สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพและคุณภาพด้านการแพทย์และสาธารณะสุขที่ได้ยอดเยี่ยม

ดังนั้น นี้คือโอกาสและเป็นจุดแข็งของประเทศซึ่งไทยต้องนำมาทำการตลาดโฆษณาสื่อสารออกไปให้ทั่วโลกรับรู้ว่าประเทศไทยมีดีอะไรเก่งอย่างไรมีฝีมืออย่างไรในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขโรงพยาบาลของไทยมีความยอดเยี่ยมอย่างไรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย

ในวันนี้ การดึงเม็ดเงินเข้าประเทศได้ง่ายและเร็วที่สุด คือภาคการท่องเที่ยวแต่ต้องเข้มงวดด้านความปลอดภัยมีการคัดกรองนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวดคัดเลือกกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพมีกำลังซื้อสูงและต้องการเข้ามาอยู่อาศัยระยะยาวหรืออยู่เป็นเวลานานหรือต้องการเข้ามาใช้ชีวิตอยูในประเทศไทยเพราะประเทศไทยปลอดภัยแต่หากเกิดมีการป่วยหรือติดเชื้อประเทศไทยก็มีโรงพยาบาลที่พร้อมรองรับและรักษาได้เป็นอย่างดี

“วันนี้คือโอกาสที่ดีของประเทศไทยอย่างรอจนให้โควิด-19รักษาหายแล้วค่อยจึงเปิดประเทศหรือเริ่มทำตลาดเริ่มประชาสัมพันธ์แต่ต้องทำตั้งแต่วันนี้ดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย”

Advertisement

นอกจากนี้ต้องพยายามดึงเศรษฐีทั่วโลกเข้ามาซื้อบ้านซื้อที่ดินในประเทศดึงคนเก่งๆจากทั่วโลกเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ถ้ามีเศรษฐี1ล้านคนมาซื้อบ้านหลังละ1ล้านเหรียญเท่ากับว่ามีเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า4ล้านล้านบาทมาซื้ออสังหาฯในประเทศ ดึงเม็ดเงินเข้ามาได้เท่ากับงบประมาณแผ่นดิน เพียงแค่2ปีสร้างเม็ดเงินมหาศาลภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยจะฟื้นตัวขึ้นในทันที หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ก็ไม่มีสถาบันการเงินก็ไม่ต้องกังวลปัญหาหนี้เสีย

“สหรัฐอเมริกามีเศรษฐีมากที่สุดในโลกหากดึงให้มาซื้ออสังหาฯมาใช้ชีวิตในประเทศไทยที่มีความปลอดภัยจากโรคระบาดได้จะมีเม็ดเงินเข้ามาจำนวนมาก จีนมีเศรษฐี 10%ก็เท่ากับ 100กว่าล้านคนแล้วเศรษฐีของอินเดีย10%ก็มี 100ล้านกว่าล้านคนถ้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยที่มีความปลอดภัยมาพักอาศัยพักร้อนขณะเดียวกันก็ยังสามารถทำงานในอยู่ประเทศไทยผ่านระบบออนไลน์ได้ก็จะทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวได้มากกว่าที่เคยเป็นมา”

ส่วนความปลอดภัยของประชาชนไทยที่จะตกใจตื่นกลัวกับการะบาดของเชื้อโควิด-19ไม่น่ากังวลเพราะเศรษฐีพวกนี้มีความตื่นตัวระมัดระวังตัวการเดินทางก็เป็นไม่ปะปนกับคนทั่วไปโอากาสของการแพร่เชื้อต่ำมากแต่ก็ไม่ควรประมาณดังนั้นต้องได้รับการตรวจเซ็กจากโรงพยาบาลที่เป็นที่ยอมจากประเทศต้นทางและมีการันตีว่าปลอดเชื้อก่อนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นการป้องกันในเบื้องต้น

สำหรับความกังวลเกี่ยวกับการเข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติจำเป็นหรือไม่จะต้องมีการแก้กฎหมายรองรับหรือไม่นั้น ..?

“อย่ากบอกว่าการแก้กฎหมายทั้งประเทศเป็นเรื่องยุ่งยากเพราะฉนั้นกำหนดโซนนิ่งในการเปิดให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธ์โดยในช่วงแรกเสนอให้ใช้พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษใน3จังหวัดซึ่งรัฐบาลสามารถแก้กฎหมายได้โดยเปิดให้เศรษฐีที่ต้องการเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศกำหนดให้ต้องนำเงินมาฝากในสถาบันการเงินในสังกัดรัฐบาลไทยทำให้รัฐบาลมีเงินเข้ามาในทันที”

นอกจากเศรษฐีแล้วกลุ่มคนที่ควรดึงเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศคือกลุ่มคนเก่งๆในธุรกิจสตาร์ทอัพก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ควรจะดึงเข้ามาหากได้สัก5ล้านคนก็จะยิ่งเป็นผลดีขณะเดียวกันก็ควรออกกฎหมายสนับสนุนและเอื้อต่อการลงทุนในธุรกิจต่างๆของคนกลุ่มนี้เพื่อให้มาลงทุนและใช้ชีวิตในประเทศไทยทั้งนี้แม้ว่าในโซนเอเชียนี้จะมีสิงคโปร์เป็นประเทศคู่แข่งสำคัญที่ทำให้มีกลุ่มสตาร์ทอัพมาลงทุนในประเทศไทยน้อยปัญหานี้แก้ได้ไม่ยาก เพราะเราสามารถแข่งกับสิงคโปร์ได้โดยการเปิดทางให้มากกว่าที่สิงคโปรมีให้เพื่อดึงกลุ่มสตาร์ทอัพเข้ามา

โดยในจำนวน5ล้านคนจากกลุ่มสตาร์ทอัพระดับโลกที่เข้ามาดึงมานั้นก็เพื่อให้สอนบุคคลากรในประเทศเพิ่มศักยภาพคนในประเทศนอกจากนี้ต้องมีการออกกฎหมายเอื้อต่อกองทุนท็อปๆระดับโลกเข้ามาในประเทศไทยเพื่อนำเข้ามาเงินนำเข้าบุคคลากรที่มีความรู้และนำเข้าตลาดมาไว้ในประเทศเพราะกองทุนเหล่านี้สร้างสตาร์ทอัพมาหลายรุ่นแล้วเมื่อมีทุกอย่างครบจะเป็นแม่เหล็กดึงคนเก่งเข้ามาในประเทศได้ไม่ยากเมื่อดึงคนรวยคนเก่งๆมาอยู่ในประเทศไทยทำงานจากประเทศไทยผ่านระบบออนไลน์ แต่ใช้ชีวิตในประเทศไทยก็จะผลักดันให้ในอนาคตกองทุนต่างๆเข้ามาในประเทศไทย

“ผมเคยถามหลายๆคนว่าจะให้ใช้สัญชาติประเทศต่างๆเข้าสนใจใหม่เขาบอกว่าไม่เอาแต่ถ้าให้ใช้สัญชาติไทยเข้าเอาเพราะอยู่ประเทศไทยนมีความสุขวัฒนธรรมยอดเยี่ยมคนไทยไม่เคยรังเกียจใครคนไทยไม่เคยต่อต้านศาสนาไม่เคยรงเกียจแบ่งแยกเชื้อชาติไหนคนไทยยิ้มแย้มแจ่มใสอัธยาศัยดีเมืองไทยน่าอยู่ แล้วทำไม่เราไม่ใช้ข้อดีนี้ไปดึงเอาคนเก่งๆในโลกมาเป็นคนไทย”

มีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดชลบุรี
มีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดชลบุรี

ด้าน “มีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ” นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ชลบุรี กล่าวว่าข้อเสนอแนะของท่านเจ้าสัว “ธนินท์”ให้ดึงกลุ่มมหาเศรษฐีและกลุ่มสตาร์ทอัพเก่งๆเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในอีอีซีจะช่วยดึงเม็ดเงินเข้าประเทศเป็นข้อเสนอแนะที่ดีและจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วแต่คำถามคือ…!!!

…มหาเศรษฐีและกลุ่มสตาร์ทจะได้อะไร..?
…หรือรัฐบาลมีข้อเสนออะไรที่จะดึงดูให้กลุ่มมหาเศณษฐีเหล่านั้นเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยได้ …?

“ปัจจัยที่จะดึงดูดเศรษฐีกองทุนและกลุ่มสตาร์ทอัพเข้ามาคือการให้สิทธิพิเศษิพเศษที่ส่งเสริมการลงทุนและการเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเช่นการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีการออกกฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุนแก่กลุ่มทุนต่างชาติการให้สิทธิพิเศษการถือวีซ่าระยะยาว5ปีหรือ 10ปีเช่นเดียวกับหลายๆประเทศทำ”

โดยเฉพาะการดึงกลุ่มสตาร์ทอัพเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศเพื่อหวังผลในการปลุกปั้นสตาร์ทอัพรุ่นใหม่นั้นรัฐบาลจำเป็นต้องวางโครงสร้างในการรอบรับการบ่มเพราะสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ในระยะยาวเนื่องจากการบ่มเพาะสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้นนั้นโอกาสสำเร็จน้อยแต่หากสามารถทำได้สำเร็จจะสร้างประโยชน์ได้มากดังนั้นจึงต้องใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการผลักดันค่อนข้างมากหากมีเอกชนไทยเข้าร่วมในการบ่มเพาะด้วยจะส่งผลดีต่อการสร้างสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ได้มากขึ้นเช่นเดียวกับประเทศจีนที่มีการสร้างไฮเทคซิตี้เพื่อรองรับการสร้างสตาร์ทอัพรุ่นใหม่

ส่วนการดึงกองทุนเข้ามาในประเทศไทยนั้นก่อหน้าสมาคมอสังหาฯได้เสนอแนวคิดดังกล่าวในช่วงที่ภาคธุรกิจดังกล่าวเดินทางเข้าพบและหารือเกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจร่วมกับพล.เอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีซึ่งได้เสนอให้รัฐจัดทำโครงการสมาร์ทซิตี้และมีหน่วยงานเฉพาะในเจรจาชักชวนให้กองทุนต่างๆที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงย้ายฐานเข้ามาตั้งศูนย์กลางกองทุนและศูนย์กลางการเงินอยู่ในประเทศไทยซึ่งหากดำเนินการจัดตั้งโครงการสมาร์ทซิตี้หรือเมืองศูนย์กลางการเงินได้จริงโดยรัฐสามารถเชื่อมต่อสิ่งอำนยความสะดวกและโครงสร้างต่างๆร่วมกันเพื่อดึงกลุ่มกองทุนและสตาร์ทอัพเข้ามาอยู่ด้วยกันได้

ทั้งนี้ที่ผ่านมาประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ได้รับความสนใจจากกองทุนและบริษัทการเงินต่างๆที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงเนื่องจากต้องการหาทางออกหลังถูกรัฐบาลปักกิ่งกดดันเพราะไม่ต้องการอยู่ภายใต้การคอบงำของรัฐบาลปักกิ่ง (จีน)แม้จะมีสิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่พร้อมอ้าแขนรับพร้อมให้สิทธิพิเศษทางภาษีเพื่อดึงดูดกองทุนและธุรกิจการเงินจากฮ่องกงเข้าไดตั้งศูนย์กลางการเงินแต่หากเทียบศักยภาพที่ตั้งและยุทธศาตร์ที่ตั้งของประเทศไทยซึ่งถือเป็นศูนย์กลางและประตูสู่กลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนประเทศไทยก็มีความได้เปรียบหากรัฐบาลมีการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์การกลางเงินหรือสมาร์ทซิตี้และให้สิทธิพิเศษทางภาษีก็และมีกฎหมายที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจเชื่อว่าจะสามารถดึงกลุ่มธุรกิจการเงินและกองทุนจากฮ่องกงมาตั้งศูนย์กลางการเงินในประเทศไทยได้ไม่ยาก

X สำหรับข้อเสนอให้ดึงมหาเศรษฐีจากทั่วโลกเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยโดยให้โซนนิ่งไว้ในพื้นที่อีอีซีนั้นส่วนตัวเห็นด้วยและสนับ สนุนอย่างมากเนื่องจากปัจจุบันนี้ก็มีการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวราคาแพงกระจายอยู่ทั่วประเทศเพื่อขายในรูปแบบสัญญาเช่าระยะยาวให้กับชาวต่างชาติโดยเฉพาะขายให้กับกลุ่มคนจีนที่ส่งลูกมีเรียนต่อในโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยหรือเข้ามาทำงานและใช้ชีวิตในประเทศไทยรวมถึงกลุ่มชาวจีนที่นิยมเข้ามาใช้ชีวิตในประเทศไทย

โดยบริษัทผู้พัฒนาโครงการเหล่านั้นนายทุนผู้พัฒนาไม่ใช่คนไทยแต่เป็นคนจีนที่เข้ามาตั้งบริษัทร่วมทุนโดยใช้ชื่อของคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน51%แต่ผู้ถือหุ้นคนไทยนั้นไม่ได้เป็นผู้ลงทุนเป็นเพียงนอมินีที่รับจ้างถือหุ้นลมเท่านั้นทำให้รายได้จากการประกอบธุรกิจในส่วนนี้ไม่ได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยการจัดเก็บภาษีก้ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแทบเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจใต้ดินโดนพื้นที่ที่มีการพัฒนาและขายให้คนจีนในรูปแบบนี้พบมากในพื้นที่เมืองพัทยาเชียงใหม่เชียงรายและหลายๆจังวัดในภาคอีสานและภาคใต้

“การจ้างนอมินีคนไทยให้ถือหุ้นในบริษัทร่วมทุนเพื่อพัฒนาบ้านขายให้กับกลุ่มลูกค้าต่างชาติรายได้ที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในเมืองไทยแต่เข้ากระเป้าบริษัทจากประเทศจีนที่เข้ามาดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวบางรายไม่ได้ใช้กระทั้งวัสดุก่อสร้างในประเทศแต่เป้ฯการนำเข้าวัสดุกอ่สร้างจากจีนเข้ามาก่อสร้างโครงการลักษณะการดำเนินธุรกิจเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับทัวร์ศูนย์เหรียญที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก่อนหน้านี้แถมยังส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและตลาดอสังหาฯไทยอย่างมาก”

ดังนั้นหากมีโครงการที่ภาครัฐสนับสนุนอย่างชัดเจนมีการแก้กฎหมายและการออกกฎหมายส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงกลุ่มมหาเศรษฐีเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยและตรวจสอบในการพัฒนาโครงการดังกล่าวจะทำให้สามารถดึงธุรกิจร่วมทุนที่มีนอมินีคนไทยถือหุ้นเข้ามาไว้บนดินซึ่งจะช่วยให้รัฐจัดเก็บรายได้จากภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและยังช่วยให้เกิดการแข่งขันอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันนอกจากนี้ควรมีการแก้กฎหมายเช่าซื้อระยะยาวเพิ่มระยะเวลาการถือครองกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้เช่าชาวต่างชาติจาก30ปีบวก30ปีเช่นให้ขยายระยะเวลาเช่าเป็น 90ปีหรือ 40ปีบวก 50ปี ซึ่งรูปแบบนี้ควรทำพร้อมกันทั้งหมดทั่วประเทศไม่จำกัดเฉพาะบางพื้นที่หรือโซนนิ่งไว้เฉพาะในพื้นที่อีอีซี

“ที่ผ่านมาผังเมืองในร่างผังเมืองอีอีซีได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการถือครองกรรมสิทธิ์การเช่าอสังหาฯระยะยาวโดยในกฎหมายกำหนดให้กรรมสิทธิ์ระยะยาวไว่ให้ถือครองเป้ฯระยะเวลา 49ปีบวก50ปีแต่ผู้ถือครองต้องเป็นโครงการที่ผ่านการพิจารณาจากบอร์ดอีอีซีใน10อุตสาหกรรมที่กำหนดไว้จึงจะได้สิทธิ์สูงสุดอย่างไรก็ตามข้อกำหนดดังกล่าวเป็นข้อกำหนดเดิมในช่วง5-6ปีที่ผ่านมาแต่ในปัจจุบันมีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่ต้องรอดูกันอีกครั้งหนึ่ง”

นายมีศักดิ์กล่าวว่าก่อนหน้านี้สมาคมอสังหาฯได้มีการเสนอรัฐบาลให้นำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเพื่อแก้ปัญหาแล้วซึ่งจากการติดตามของสมคมฯทราบว่าเรื่องดังกล่าวมีการหารือและพิจาณาอย่างต่อเนื่องและมีความคืบหน้าไปค่อนข้างมากโดยเฉพาะในส่วนของการเสนอให้สิทธิพิเศษกับชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อย่อาศัยราคาแพงในประเทศไทยโดยรัฐบาลพิจารณาในกลุ่มบ้านระดับราคา8ล้านบาทขึ้นไปแต่ทางสมาคมอสังหาฯเสนอให้ปรับลดระดับราคาลงมาที่5ล้านบาทเนื่องจากบ้านราคาแพงระดับ8ล้านบาทขึ้นไปในต่างจังหวัดมีจำนวนน้อยมากจึงไม่น่าจะส่งผลดีต่อตลาดที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัด

ขณะเดียวกันสมคมอสังหาฯยังได้เสนอให้ดึงเศรษฐีในพื้นประเทศเพื่อบ้านกลุ่ม CLMVเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยหรือเข้ามาใช้ชีวิตใช้จ่ายในประเทศไทยโดยให้สิทธิพิเศษการถือวีซ่านานขึ้นภายใต้เงื่อนไขการให้สิทธิ์พิเศษเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสองเนื่องจากโดยปกติแล้วกลุ่มเศรษฐีเหล่านี้มีการเดินทางเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองไทยอยู่เป็นประจำและมีการใช้จ่ายสูงมากนอกจากนี้ยังเสนอให้เปิดเกาะขนาดเล็กในภาคใต้หรือเกาะลูกในจังหวัดภูเก็ตบางเกาะให้เป็นพื้นที่พิเศษรองรับการเข้ามาพักอาศัยของกลุ่มมหาเศณษฐีระดับโลกโดยดำเนินการในรูปแบบเดียวกับเกาะเวอร์จิ้นในสหรัฐอเมริกาเพื่อจับกลุ่มมหาเศรษฐีหรือ Ultar Luxury ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรสนิยมและสังคมในรูปแบบเฉพาะตัวเข้ามาทั่องเที่ยวและพักอาสัยใช้ชีวิตในประเทศไทยโดยรัฐต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในการรองรับเช่นสนามบินขนาดเล็กรองรับเครื่องบินส่วนตัวได้เพื่ออำนวยความสะดวกให้มหาเศรษฐีกลุ่มนี้เข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย

สำหรับการให้สิทธ์พิเศษแก่เศรษฐีและชาวต่างชาติเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยนั้นอยากเสนอให้รัฐบาลนำเข้อได้เปรียบในเรื่องของระบบสาธารณสุขมาใช้เป็นจุดขายเนื่องจากระบบสาธารณสุขไทยได้รับการยอมรับอย่างมากจากทั่วโลกโดยเฉพาะหลังการควบคุมและป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ซึ่งประเทศไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศที่ควบคุมและป้องกันและเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19ได้เร็วที่สุดในโลก เช่นการเชื่อมโยงบิลทรานเฟอร์หรือการเชื่อมโยงสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลให้แก่ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาใช้ชีวิตหรืออยู่อาศัยในประเทศไทยและสามารถส่งบิลค่ารักษาพยาบาลไปเรียกเก็บเงินจากระบบประกันสังคมในประเทศต้นทางของชาวตต่างชาติที่เข้ามารักษาตัวในประเทสไทยได้

“รูปแบบการรักษาพยาบาลของคนต่างชาติในประเทศไทยและส่งบิลเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลจากประเทศต้นทางนั้นประเทศไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วในสมัยที่เปิดนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ดซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่น”

ที่มา : mgronline.com

Advertisement
Haus23
Haus23
Haus23