การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้วิถีการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทุกกลุ่มธุรกิจ รวมไปถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้องพร้อมรับมือกับความปกติใหม่ หรือ New Normal เพื่อรองรับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคแบบใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ได้ทำการสำรวจกลุ่มลูกค้า (Knight Frank Customer Survey) ถึงความต้องการเลือกที่อยู่อาศัยในช่วงหลังจากวิกฤตโควิด-19 ผลจากมาตราการป้องกันต่างๆ และสังคมเริ่มทำงานจากบ้าน Work From Home มากขึ้น จึงมีความต้องการพื้นที่ผ่อนคลาย มุมทำงาน และพื้นที่ครัวกว้างขึ้น โดยคิดเป็นร้อยละ 43 ร้อยละ 28 และร้อยละ 19 ตามลำดับ อีกทั้งความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ร้อยละ 92 ให้ความสนใจเรื่องร้านสะดวกซื้อและพื้นที่สีเขียวหรือบางคนต้องการมุมทำงานในสวนด้วย เพราะหาของกินง่าย เป็นที่ผ่อนคลายและพักสายตา ส่วนความปลอดภัยในเรื่องการคัดกรอกไวรัสโควิด-19 มาเป็นอันดับรองลงมาอยู่ที่ร้อยละ 85
กราฟ 1 : ความต้องการขนาดห้องที่กว้างขึ้น
กราฟ 2 : ความสนใจพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการ
ตลาดอสังหาฯ ประเภทคอนโดหลังโควิด-19 มีการปรับสมดุลมากขึ้น สะท้อนถึงความต้องการซื้อที่อาศัยจริงมากขึ้น การเก็งกำไรลดลง จากการสำรวจกลุ่มผู้ซื้อคอนโดมีแนวโน้มที่จะซื้อคอนโดฯ เพิ่มเติมในระยะ 3 ปีนี้ คิดเป็น 51% และ 49% ไม่สนใจซื้อ โดยส่วนใหญ่ของกลุ่มผู้ที่สนใจซื้อเพื่ออยู่อาศัย 45% ซื้อเพื่อลงทุน 35% และเป็นสินทรัพย์ 17% ซึ่งกลุ่มคอนโดที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือคอนโดไม่เกิน 3 ล้าน คิดเป็น 60% เพราะเป็นระดับราคาที่ส่วนใหญ่รับได้และเป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการอยู่อาศัย รองลงมาคือคอนโดระดับราคาตั้งแต่ 3 – 5 ล้าน 28% และคอนโดระดับราคาตั้งแต่ 5 ล้านขึ้นไปได้รับความสนใจน้อยที่สุด
กราฟ 3 : วัตถุประสงค์ในการซื้อคอนโดฯ เพิ่มเติมในระยะ 3 ปี
กราฟ 4 : งบประมาณในการซื้อคอนโดฯ เพิ่มเติมในระยะ 3 ปี
ส่วนทำเลที่ตั้งของคอนโดที่อยู่ใจกลางเมือง เช่น อโศก สุขุมวิท พระราม 9 รัชดา พระราม 4 ฯลฯ ยังคงได้รับความสนใจอย่างดี คิดเป็น 50.4% เนื่องจากสะดวกในการเดินทาง ใกล้กับ BTS และ MRT ส่วนคอนโดที่ตั้งอยู่รอบเมือง เช่น รามคำแหง ท่าพระ แบริ่ง ฯลฯ ได้รับความสนใจไม่น้อยอยู่ที่ 49.6% อาจเป็นเพราะผู้ซื้อต้องการพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น แม้อยู่ไกลจากเมืองและใช้เวลาการเดินทางเข้าเมืองไม่นาน
มร.แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดคอนโดยังคงชะลอตัว เนื่องจากกำลังซื้อจากต่างชาติหายไป และกำลังซื้อภายในประเทศหยุดชะงัก เนื่องจากผู้ซื้อระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้นักพัฒนาโครงการหลายๆ แห่งชะลอการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ โดยมุ่งไปที่การระบายยูนิตที่มีอยู่ก่อน แนวโน้มนี้อาจลากยาวไปจนถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 และหากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลง เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็น ผู้ใช้แรงงานและคนทำงาน (Workers) กับ เจ้าของกิจการ (Business Owner) ในขณะที่สถาบันการเงินและการใช้จ่ายจากภาครัฐยังคงมีเสถียรภาพและยังคงไม่กระทบมากนัก ส่วนผู้ซื้อที่ไม่ได้รับผลกระทบและมีแผนในการซื้อคอนโดมิเนียมอยู่แล้วจะใช้โอกาสนี้ในการซื้อ หากมีข้อเสนอส่วนลด 10-30%”
นางสาว พจมาน วรกิจโภคาทร หัวหน้าฝ่ายงานบริหารงานขายและการตลาด บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า “ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิด “ความปกติใหม่” ที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและเต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย เราสามารถให้คำปรึกษาการพัฒนาโครงการที่พักอาศัย (Product Consultancy) ได้อย่างดี เนื่องจากเราศึกษาและรู้ถึงความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง รวมไปถึงสิ่งที่นักพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ควรปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงหลังจากโควิด-19 สิ้นสุดลง”
การเปลี่ยนแปลงจากผลกระทบโควิด-19 ในครั้งนี้ ไม่ได้เปลี่ยนเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภค แต่เราจะเห็นการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้และการปรับตัวของผู้ประกอบการอย่างแน่นอน โดยเน้นไปที่พื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ใช้สอยภายในห้อง เช่น ห้องนอน ห้องครัว รวมถึงพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อให้เหมาะกับการทำงานที่บ้านและตอบโจทย์ความต้องการในยุคหลังโควิด-19 ยิ่งขึ้น